คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

อีกแค่เพียงแปดสัปดาห์เท่านั้นก็จะได้รับทราบกันแล้วว่า ใครจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ

หากลองจัดอันดับปัญหาหลักๆที่สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ จะเห็นได้อย่างเด่นชัดเลยว่า คนอเมริกันเลือกเอาปัญหาเกี่ยวกับเศรษฐกิจเรื่องปากเรื่องท้องไว้เป็นอันดับหนึ่ง ส่วนปัญหาเกี่ยวกับชาวต่างชาติพวกเขาเรื่องที่จะเอาไว้เป็นอันดับรอง!!!

ที่ผ่านๆมาคนอเมริกันเคยเล็งเห็นและคิดว่า “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” เป็นผู้นำที่มีความสามารถในด้านบริหารจัดการปัญหาเศรษฐกิจ ได้ดีเหนือกว่า “รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส” ด้วยซ้ำไป

แต่เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ผลการสำรวจของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ที่ทำร่วมกับ วิทยาลัยเซียนา ระบุออกมาว่าขณะนั้นชาวอเมริกันให้ความไว้วางใจต่อประธานาธิบดีทรัมป์มากถึง 53%  และให้ความไว้วางใจ รองประธานาธิบดีแฮร์ริสอยู่ที่ 44% เท่านั้น

แต่ทว่าจากผลสำรวจของ “The Financial Times” และคณะบริหารธุรกิจ (Ross School of Business) แห่ง มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วว่า ขณะนี้รองประธานาธิบดีแฮร์ริส กลับกลายเป็นผู้นำที่ได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยคะแนน 42% ต่อ 41%

อย่างไรก็ตามเมื่อวันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2024 รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ได้ออกมากล่าวเปิดเผยถึงนโยบายทางด้านแผนเศรษฐกิจครั้งใหญ่เป็นครั้งแรก ที่รัฐนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งถือเป็น “รัฐสวิง” ที่อาจจะกลายเป็นรัฐที่ชี้ขาดถึงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในอีกกว่าสองเดือนข้างหน้าก็เป็นไปได้

อนึ่งรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ได้กล่าวเน้นย้ำถึงจุดที่ถือเป็นเรื่องราวที่แสนจะเจ็บปวดที่สุดในครอบครัวของชาวอเมริกันส่วนใหญ่ที่ต่างก็กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ซึ่งนั่นก็คือ การขึ้นค่าเช่าบ้านที่อยู่อาศัย ด้านราคายาตามใบสั่งแพทย์ ด้านความยากลำบากของชาวอเมริกันในการต้องการที่จะซื้อบ้านเป็นของตนเองในครั้งคราแรกที่ทุกๆอย่างมีราคาสูงลิ่วแทบติดเพดาน!!!

ทั้งนี้รองประธานาธิบดีแฮร์ริสได้กล่าวว่า หากเธอได้รับชัยชนะ แน่นอนว่าในหนึ่งร้อยวันแรกที่เธอก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว เธอจะปราบปรามเพื่อต้องการจะยุติการกระทำของบริษัทที่ฉวยโอกาสขึ้นทั้งราคาค่าเช่าที่อยู่อาศัย และขึ้นราคาสินค้าด้านอุปโภคบริโภค

ส่วนเรื่องที่อยู่อาศัยนั้น รองประธานาธิบดีแฮร์ริส กล่าวว่า เธอจะดำเนินการให้มีการสร้างบ้านใหม่ขึ้น 3 ล้านหลังทั่วประเทศภายในระยะเวลาสี่ปี และจะช่วยเหลือด้านเงินดาวน์ให้แก่ ผู้ที่ต้องการจะมีบ้านหลังแรกเป็นเงิน 25,000 ดอลลาร์

ในกรณีค่ารักษาพยาบาลนั้น รองประธานาธิบดีแฮร์ริส กล่าวต่อไปว่า ตั้งแต่ปีค.ศ. 2026 เป็นต้นไปเธอต้องการจะให้ราคายาที่แพทย์สั่งให้แก่คนไข้ลดราคาลง 40% จนถึง 80%

ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับด้านภาษีนั้น รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ได้กล่าวให้สัญญาว่า จะลดหย่อนภาษีให้แก่ครอบครัวของชนชั้นกลาง

โดยเธอได้กล่าวในตอนหนึ่งว่า “คนอเมริกันจำนวนมากต้องทำงานอย่างหนัก แถมยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่แสนยากที่จะมีความก้าวหน้า” เธอยังได้หยิบยกเอาเรื่องราวของเธอเป็นตัวอย่างว่าขณะที่เธอกำลังศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยเธอก็เคยทำงานขายแฮมเบอร์เกอร์ที่ร้าน “แมคโดนัลด์”

และเธอยังได้กล่าวต่อไปว่า “หากดิฉันเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ดิฉันต้องการที่จะมุ่งเน้นอย่างเต็มที่ในเรื่องการสร้างโอกาสให้แก่บรรดาชนชั้นกลาง เพื่อพัฒนาด้านเศรษฐกิจของคนอเมริกันให้มีความมั่นคงและมีความยิ่งใหญ่อย่างสมศักดิ์ศรีการเป็นประเทศมหาอำนาจให้คงสืบต่อไป”

เธอยังได้กล่าวต่อไปว่า นโยบายของเธอ ช่างมีความแตกต่างไปจากนโยบายของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์โดยสิ้นเชิง สืบเนื่องมาจากเขามุ่งต้องการที่จะช่วยเหลือแต่บรรดามหาเศรษฐีเพียงอย่างเดียว

และในทันทีทันใดประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้ออกมากล่าวแก้ต่างและโจมตีตอบต่อรองประธานาธิบดีแฮร์ริสว่า นโยบายที่เธอเสนอออกมานั้น มันเป็นสังคมของคอมมิวนิสต์ชัดๆ

อนึ่งจากการวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์และคณะกรรมการจัดทำงบประมาณกลางที่มีส่วนรับผิดชอบได้ออกมาประเมินแผนเศรษฐกิจของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ในทำนองที่ว่า นโยบายเกี่ยวกับแผนเศรษฐกิจของเธออาจจะเป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะมากขึ้นประมาณ 1.2 ไปจนถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ในระหว่างปีค.ศ. 2026 ไปจนถึงปีค.ศ. 2035

โดย รองประธานาธิบดีแฮร์ริสได้ออกมาอธิบายว่า เธอจะทำการขึ้นภาษีจากบรรดาคนร่ำรวย เพื่อนำไปชดเชยกับรายจ่ายที่ต้องเพิ่มหนี้สาธารณะ

อย่างไรก็ตาม การเผด็จศึกช่วงชิงตำแหน่งเพื่อเข้าสู่ทำเนียบขาวระหว่างอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส กำลังเพิ่มพูนความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ ที่ต่างฝ่ายต่างก็หยิบยกสรรหางัดเอานโยบายแปลกๆใหม่ๆ เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากคนอเมริกัน

ในเดือนกันยายนที่กำลังจะถึงนี้ ถือเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อในการหาเสียงของทั้งสองคู่ สืบเนื่องมาจากวันที่ 2 กันยายน 2024 ซึ่งเป็น “วันแรงงาน” จะเป็นช่วงการเปลี่ยนฤดูของการเมือง และยังเป็นฤดูของการแข่งขันกีฬาในแทบทุกๆประเภท นับเรื่อยไปตั้งแต่กีฬาอเมริกันฟุตบอลอาชีพ และอเมริกันฟุตบอลระดับมหาวิทยาลัย ที่ทั้งสองนักการเมืองจะต้องทุ่มทั้งเม็ดเงินและทุ่มทั้งแรงกายแรงใจโหมโฆษณาหาเสียงอย่างหนัก  เพื่อดึงดูดบรรดาผู้ชมกีฬาทุกๆประเภทนั่นเอง !!!

อนึ่งในค่ายพรรคเดโมแครตของ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ได้ตั้งงบประมาณเอาไว้ถึง 370 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้หว่านโฆษณาในรัฐสวิงทั้งเจ็ดรัฐ ที่ถือเป็นสมรภูมิสำคัญที่สุดในการตัดสินชี้ขาด ที่จะรวมไปถึงรัฐทางตอนเหนือของสหรัฐฯอีกสามรัฐ อันได้แก่ รัฐมิชิแกน รัฐเพนซิลเวเนีย และรัฐวิสคอนซิน ส่วนรัฐทางตอนใต้ (Sunbelt) ที่รวมรัฐแอริโซนา รัฐจอร์เจีย รัฐเนวาดา และรัฐนอร์ทแคโรไลนา

อนึ่งการชี้ขาดของผลเลือกตั้งประธานาธิบดีขึ้นอยู่กับเสียง  “ Electoral College” หรือเรียกกันว่า “ คณะผู้เลือกตั้ง”โดยผู้ที่จะได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯจะต้องได้รับคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Voter)อย่างน้อย 270 คะแนน ซึ่งมีทั้งหมด 538 คะแนน ที่มิใช่ “ป๊อปปูล่าโหวต”(Popular votes) หรือเป็นคะแนนโหวตของประชาชน

ทั้งนี้คะแนน “อิเล็กโทรัลโหวต” ถือเป็นตัวชี้ขาดว่า ผู้ใดจะได้รับเลือกให้เข้าไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไป

ตามสูตรของ “อิเล็กโทรัลโหวต” นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรของแต่ละรัฐ อาทิเช่นรัฐที่มีจำนวนประชากรมากเช่นรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีจำนวนประชากรมากที่สุด ดังนั้นจึงมีเสียงอิเล็กโทรัลมากถึง 54 เสียง ส่วนรัฐเล็กๆก็จะมีเสียงอิเล็กโทรัลอย่างน้อยรัฐละสามเสียง

ส่วนผู้แข่งขันคนใดก็ตามได้รับคะแนนเสียงมากกว่าอีกฝ่ายในแต่ละรัฐ ผู้นั้นก็สามารถจะเป็นฝ่ายได้รับคะแนนของแต่ละรัฐไปทั้งหมด

 โดยในขั้นสุดท้ายตามสูตรนี้ ก็จะเอาคะแนนของอิเล็กโทรัลโหวตที่แต่ละฝ่ายได้รับมาคำนวณและผู้ที่จะได้รับชัยชนะก็จะต้องได้รับคะแนนอิเล็กโทรัลโหวตทั้งหมดอย่างน้อย 270 คะแนนขึ้นไป

จากการวิเคราะห์ของซีเอ็นเอ็นล่าสุดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2024 ระบุออกมาว่า ขณะนี้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์คุมเสียงอยู่ 19 รัฐ โดยมีเสียงอิเล็กโทรัลอยู่ที่ 219 เสียง ขาดอีก 51 คะแนน กว่าจะได้รับคะแนนอิเล็กโทรัลครบอย่างน้อย 270 เสียงขึ้นไป

ส่วนในขณะนี้รองประธานาธิบดีแฮร์ริส คุมเสียงไปแล้ว 19 รัฐ และมีคะแนนอิเล็กโทรัลอยู่ที่ 225 เสียง ขาดอยู่ 45 เสียง จึงจะได้คะแนนอิเล็กโทรัลครบอย่างน้อย 270 เสียงขึ้นไป

เพราะฉะนั้นรัฐสวิงทั้งเจ็ดรัฐที่มีคะแนนอิเล็กโทรัล ทั้งหมด 94 เสียง จึงเป็นที่ต้องการทั้งของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ และ ทั้งรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ที่ทั้งคู่จะต้องงัดกลยุทธ์ในทุกๆรูปแบบเข้าไปฉกชิงแก่งแย่งเอาคะแนนมาเก็บไว้ในกระเป๋า

สำหรับรองประธานาธิบดีแฮร์ริส จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเอาชนะในรัฐเพนซิลเวเนีย (19 คะแนน รัฐมิชิแกน (15 คะแนน) และรัฐวิสคอนซิน (10 คะแนน)

ส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จำเป็นที่จะต้องเอาชนะในรัฐจอร์เจีย (16 คะแนน) รัฐเนวาดา (6 คะแนน) รัฐเพนซิลเวเนีย (19 คะแนน) รัฐอริโซนา (11 คะแนน)และ รัฐนอร์ทแคโรไลนา (16 คะแนน) ไว้ให้จงได้

อย่างไรก็ตามการดิเบตระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ กับรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ในวันที่ 10 กันยายน 2024 น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่สองนักทั้งการเมืองจะออกมาชูธงในนโยบายของตนว่า สามารถปลุกเร้าใจคนเอมริกันให้หันไปเทคะแนนให้แก่ตนหรือไม่และมากน้อยเพียงใด!!!

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาที่เกิดระหว่าง “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”กับ “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส” โดยขณะนี้กำลังมีคะแนนที่สูสีคู่คี่ได้ยินเสียงหายใจรดต้นคอของกันและกัน จนไม่แน่ว่ารัฐสวิงทั้งเจ็ดรัฐ อาจจะกลายเป็นตัวชี้ขาดว่าใครจะได้รับเลือก แต่เนื่องจากการหยั่งเสียงโดยเฉลี่ยของ“เนท ซิลเวอร์” กูรูขั้นเทพชั้นเซียนเหยียบยอดเมฆ ได้ออกมาทำนายผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดใน “Nate Silver Bulletin”เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2024 โดยระบุว่า ขณะนี้รองประธานาธิบดีแฮร์ริส กำลังมีคะแนนนำลิ่วถึงห้าในเจ็ดรัฐสวิง ก็ย่อมจะส่งสัญญาณที่ไม่ค่อยดีเท่าใดนักต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ละครับ