“จระเข้” เผยครึ่งปีแรกโต 5% มั่นใจจบปี 67 แตะ 4 พันล้านบาท คาดงานรีโนเวท-ท่องเที่ยว-นโยบายรัฐ หนุนวงการก่อสร้างครึ่งปีหลัง กางแผนเจาะตลาดเคมีภัณฑ์ก่อสร้าง-โปรดักต์สีพรีเมียม พร้อมลุยต่อตลาด CLMV
เมื่อวันที่ 22 ส.ค.67 ดร.จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจของจระเข้ ว่า “สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก จระเข้ทำรายได้ราว 2,000 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ตอนนี้เป้าหมายปี 67 ยังมุ่งสู่ 4,000 ล้านบาท ทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์มีการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยผลิตภัณฑ์สีจระเข้ หรือ SEE JORAKAY มีการเติบโตมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มเคมีก่อสร้าง ถัดมาเป็นนวัตกรรมปูกระเบื้อง ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้ากาวซีเมนต์-กาวยาแนว ที่จระเข้เป็นเจ้าตลาดและมีส่วนแบ่งทางการตลาดค่อนข้างเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นการเติบโตจึงไม่ได้มีความหวือหวา ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลังจะคึกคักกว่าครี่งแรกแน่นอน ด้วยแรงหนุนจากช่วงพีคของการท่องเที่ยว ทั้งโรงแรมและโรงพยาบาล รวมไปถึงโครงการต่างๆ จากภาครัฐ ซึ่งสินค้าก่อสร้าง-ซ่อมแซมบ้าน น่าจะได้รับอานิสงส์ด้วย โดยผลิตภัณฑ์ครบวงจรของจระเข้ ตอบโจทย์งานรีโนเวทและซ่อมแซมที่ครอบคลุมที่อยู่อาศัย โรงแรมรีสอร์ตหรู โรงงาน ไปจนถึงโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐาน หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าเรามีนวัตกรรมซ่อมพื้น ซ่อมถนนมาตรฐานระดับโลกที่ตอบโจทย์โปรเจกต์ใหญ่ของภาครัฐและเอกชนได้เป็นอย่างดี ฐานลูกค้าของเราอยู่ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ไม่ได้มีแค่วงการอสังหาฯ และปัจจุบัน การท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรมและบริการ วงการสุขภาพและความงาม ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ ก็มีโครงการขยับขยายงานก่อสร้างและซ่อมแซมพื้นที่ช่วงสิ้นปี จระเข้ จึงมั่นใจว่าปีนี้เราจะเติบโตอย่างแน่นอน”
นายวิกิจ กันฉาย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานขายในประเทศ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงความท้าทายของธุรกิจและกลยุทธ์การเติบโตในประเทศช่วงครึ่งปีหลังว่า สถานการณ์เศรษฐกิจตอนนี้ถือว่าท้าทาย กำลังจ่ายลดลง คนคิดเยอะขึ้นก่อนใช้จ่าย ธุรกิจแข่งกันดุเดือดขึ้น แต่เราเห็นโอกาสในการเจาะตลาดและกลุ่มลูกค้าใหม่ๆอยู่ตลอด ที่ผ่านมา จระเข้ ยืนหยัดอยู่ด้วยสินค้าคุณภาพและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์แบบ Beyond Pain Point คือเราคิดตอบโจทย์ไม่พอ เราต้องเหนือกว่าและนำเสนอเทรนด์ใหม่ๆที่ปรับตามทิศทางของโลกด้วย เช่น ครึ่งปีหลังนี้เราลุยเจาะตลาดเคมีก่อสร้างและผลิตภัณฑ์สีจระเข้ ณ ตอนนี้เรายังถือเป็นผู้เล่นใหม่ในกลุ่มสี แต่เราเห็นพื้นที่ในการเติบโตเพราะเราสู้ด้วยนวัตกรรม เช่น ผลิตภัณฑ์ซ่อมพื้นถนน Crocodile Road Fix Express ที่เปิดใช้หน้างานได้ภายใน 6 ชั่วโมงและลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 97% โดยได้ 2 รางวัลการันตี รางวัล Best Innovation Award 2024 จากงานสถาปนิก 67 และล่าสุดคว้ารางวัลกรีน "นวัตกรรมลดโลกร้อน" (Best Innovativeness Green Product) จากงาน SustainAsia Week 2024
ทั้งนี้กลุ่มสีจระเข้ เราก็เช่นกัน จุดเด่นคือ ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยคุณภาพมาตรฐานสูงสุดระดับเวิลด์คลาส ตอบโจทย์ครอบครัวและธุรกิจที่ใส่ใจผู้คนและสิ่งแวดล้อม โดยตอนนี้ทุกอุตสาหกรรมมุ่งสู่ความยั่งยืน ซึ่งจระเข้ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ลูกค้าทุกกลุ่มจึงมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของจระเข้ มีคุณภาพและคำนึงถึงความยั่งยืนในทุกกระบวนการผลิต นี่คือจุดแข็งที่ชัดเจนที่ทำให้จระเข้โตได้ในยุคนี้ ในอนาคต เราจะเดินหน้าเจาะงานโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ทั้งทางด่วน รถไฟ สนามบิน และการซ่อมผิวถนนซึ่งเรามีนวัตกรรมที่โดดเด่นและตอบโจทย์มากที่สุด ทั้งยังจะสานต่อแคมเปญการตลาดที่สื่อสารเรื่องความครบวงจรของไลน์อัปนวัตกรรมก่อสร้างของแบรนด์จระเข้ ที่มีมากกว่ากาวยาแนวและกาวซีเมนต์ ซึ่งเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์จระเข้ร่วมกัน สามารถปกป้องและดูแลทั้งบ้านและรองรับงานก่อสร้างทุกสเกล ตลอดจนลุยขยายสาขาและตัวแทนจำหน่าย ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทยอย่างต่อเนื่อง
นายพงษ์พันธุ์ ประทีปมโนวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการค้าระหว่างประเทศ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เล่าถึงแผนการขยายธุรกิจของจระเข้ใน CLMV ว่า “จระเข้ จัดจำหน่ายสินค้าในตลาดกัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา และเวียดนาม มาสักพักแล้ว โดยเกือบทุกประเทศเรามีทีมงานสนับสนุน และมีสำนักงานตั้งอยู่ ทั้งในประเทศเวียดนามและพม่า สำหรับปีนี้คาดว่าตลาด CLMV ของเราจะสร้างรายได้ราว 450-500 ล้านบาท โดยกลุ่ม CLMV เราโฟกัสไปที่ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นตลาดใหญ่ เพราะกำลังขยายเมืองอย่างรวดเร็ว ตลอดกว่า 10 ปีที่จระเข้เข้าสู่ตลาดเวียดนาม สินค้าของเราได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีด้วยคุณภาพและนวัตกรรมที่โดดเด่น แต่ความท้าทายที่เจอคือ โลคอลแบรนด์ ที่มีราคาย่อมเยากว่า รวมถึงพบสินค้าลอกเลียนแบบ ตอนนี้เราจึงมีแผนตั้งโรงงานที่เวียดนามเพื่อรุกตลาดเต็มที่ พร้อมลุยแคมเปญการตลาดที่ทำให้คนจดจำแบรนด์มากขึ้น เพื่อมุ่งสู่การเป็นเบอร์หนึ่งของเวียดนามในอนาคต นอกจากนี้เรากำลังศึกษาโอกาสในการเข้าสู่ตลาดประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งตอนนี้กำลังศึกษาแนวทางการทำธุรกิจร่วมกับพันธมิตรอยู่”
ทั้งนี้แม้ปัจจุบันต้นทุนการผลิตตลอดซัพพลายเชนปรับตัวสูงขึ้นตามราคาพลังงาน ค่าขนส่ง และค่าเงินบาทที่อ่อนตัว บริษัทยืนยันปีนี้ไม่มีนโยบายปรับราคาขายสินค้าขึ้น ประกาศเดินหน้านโยบายด้านความยั่งยืนในทุกกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำเพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน พร้อมเร่งคิดค้นนวัตกรรมก่อสร้างความสุขเพื่อคุณและครอบครัว (Innovation for Your Family’s Happiness) เพื่อยกระดับวงการก่อสร้างเมืองไทยต่อไป