“อัจฉริยะ” นำหลักฐานเส้นทางการเงินร้องผบก.ปปป. สอบตำรวจสังกัดบก.ปอศ. หลังพบพฤติการณ์เรียกรับสินบนผู้ประกอบการนำเข้าสินค้าหนีภาษี กว่า 50 คนรวมมูลค่า 300 ล้านบาท

นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ นำเอกสารเส้นทางการเงินเข้า ยื่นหนังสือถึง พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) เพื่อให้ตรวจสอบพฤติการณ์ของตำรวจระดับรองผู้กำกับการและร้อยตำรวจตรีสังกัดกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบและเรียกรับสินบน กับพวก ซึ่งทำหน้าที่เปิดบัญชีม้า รวมทั้งหมด 4 คน

นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า ในวันนี้ ตัวเองเดินทางมา เนื่องจากมีผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อยหลายรายได้เข้าให้ข้อมูลว่ามีตำรวจสังกัดกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) โดยพบพฤติการณ์เข้าข่าย ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 157 และร่วมกันเรียกรับสินบน ผ่านบัญชีม้า โดยผู้ประกอบการขายสินค้าออนไลน์ ให้ข้อมูลว่าได้มีตำรวจสังกัด บก.ปอศ. ตำแหน่งรองผู้กำกับการ เป็นผู้สั่งการให้มีการจับกุมผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย ในเรื่องของสินค้าหนีภาษี และความผิดอื่น ๆ

หลังจากที่มีการจับกุมผู้ประกอบการแล้วได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางมาที่ ปอศ. แล้วทำการข่มขู่ผู้ประกอบการให้เกิดความกลัว โดยอ้างว่าจะต้องยึดของกลางไว้ 90 วัน หากผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีจะเสียประวัติ รวมถึงการเจรจาเพื่อลดจำนวนของกลางลง ทำให้ผู้ต้องหาต้องยินยอมจ่ายเงินให้กับชุดจับกุม  เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดี และคืนของกลางให้จากนั้น รองผู้กำกับการ จะมีการเจรจากับผู้ประกอบการว่าให้มีการส่งเงินสินบนรายเดือนตั้งแต่ 5,000  บาท -  150,000 บาท โดยให้ตำรวจ อีกนาย  ใช้บัญม้าของบุคคลอีก 2 คน เพื่อบังคับให้ผู้ประกอบการโอนเข้าบัญชีรายเดือนดังกล่าว หากไม่จ่ายก็จะจับกุมดำเนินคดี ซึ่ง นอกจากการจับกุมผู้ประกอบการรายใหญ่แล้ว กลุ่มของตำรวจกลุ่มนี้ยังมีการนำข้อมูลรายชื่อผู้ประกอบการรายย่อย จากกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ไปเรียกรับสินบนต่ออีกทอดหนึ่ง

นายอัจฉริยะยังเปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้พบมีผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นผู้เสียหาย ทั้งหมด 50 คน และมีการโอนเงิน ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐกลุ่มนี้ไปแล้วกว่า 300 ล้านบาท