เมื่อวันที่ 22 ส.ค.67 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก "Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์" ระบุว่า “จตุพร” ฟาดคนผยอง เหิมเกริม พูดท้าทายสังคม อวดเบ่งอำนาจ ถามจะยอมให้คนทุจริตคอร์รัปชันมาครอบครองลูก เชิดให้เป็นผู้ปกครองบ้านเมืองเหรอ ซัดพฤติกรรมทำลายพรรคการเมืองซ้ำซาก กังขาผู้มีหน้าที่เอาตัวเข้าประเทศไม่จัดการให้เบ็ดเสร็จ บอก ปชช.อย่าสนับสนุนบุคคลแค่หน้าตา นามสกุล ผู้สืบสันดาน ขอให้มีมาตรฐาน ยึดหลักตั้งมั่นรักบ้านเมือง ปกป้องผลประโยชน์ชาติ พร้อมให้อดทน รอเวลาจนไร้ทางเลือกอื่นค่อยหารือลงถนน
เมื่อ 21 ส.ค. 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า ทักษิณ ชินวัตร พูดท้าทายสังคมเรื่องเกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาล ด้วยถ้อยคำเดินผ่านได้ยิน หรือ สังเกตุการณ์ ซึ่งทำเหมือนบ้านเมืองนี้มีใครไปยกแผ่นดินให้ตัวเองเบ็ดเสร็จแล้ว ทั้งที่เป็นบุคคลต้องห้ามคบค้าสมาคม เพราะต้องคดีทุจริตและรับสารภาพได้ทำผิดแต่สำนึกตัวแล้วเพื่อฎีกาขอพระราชทานอภัยจนได้ลดโทษจาก 8 ปีเหลือ 1 ปี
"วันแรกที่กลับมาไทยโดยขออนุญาตเลี้ยงหลานทำได้สักข้อหรือไม่ ทำได้เพียงไม่ติดคุกสักวัน แต่เชื่อว่า มีกล้องวงจรปิดรอพิสูจน์ความจริง ซึ่งจะตามหลอกหลอนคนไม่รับผิดชอบต่อการถวายฎีกา ไม่รับผิดชอบต่อพระบรมราชโองการลดโทษที่ยอมรับทำผิดจริงในคดีทุจริต แล้วเราจะให้คนต้องคดีทุจริตคอร์รัปชันมีอำนาจเหนือรัฐเหรอ”
นายจตุพร ระบุว่า มันไม่ใช่เรื่องหน้าตาจะเป็นใคร หน้าตาไม่เกี่ยว นามสกุลไหนก็ไม่เกี่ยว จะสืบสันดานอย่างไรก็ไม่เกี่ยว ถ้าเราเอาคนต้องคดีทุจริตคอร์รัปชันและยอมรับกับพระเจ้าแผ่นดินว่ากระทำความผิดจริงเพื่อขอลดโทษ แต่เมื่อได้รับพักโทษแล้ว กลับบอกว่าถูกยัดข้อหาเยอะ ซึ่งพยายามสร้างให้บ้านเมืองเห็นผิดเป็นชอบ เราทนกันได้อย่างไร เห็นการกระทำแบบนี้เป็นการกระทำที่ถูกต้องเหรอ
อีกทั้งกล่าวว่า ในสมัยสุโขทัยปกครองแบบพ่อปกครองลูก แต่วันนี้ยุคประชาธิปไตยกลับปกครองแบบพ่อครอบครองลูก หากไม่เกี่ยวกับบ้านเมืองและเป็นการปกครองกันภายในบ้านตัวเองแล้ว คงไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่เมื่อพ่อถูกลงโทษด้วยคดีทุจริต เป็นคนต้องห้ามยุ่งการเมือง ส่วนลูกมีตำแหน่งนายกฯ บริหารประเทศ ดังนั้น การปกครองแบบครอบครองลูกย่อมมีแนวโน้มกระทบต่อสังคมทำให้เกิดความเสียหายด้วยพฤติกรรมผยองของพ่อ
นายจตุพร กล่าวว่า ความสำเร็จในการทำงานจะมาหักกลบกับความดีเลวไม่ได้ เช่น นำพฤติกรรมคอร์รัปชั่นไปหักกับความสำเร็จของนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่ทำให้จึงไม่สามารถมาทดแทนกับสิ่งที่ทำเอาส่วนตัวและพวกพ้องไม่ได้่เช่นกัน เพราะผู้ปกครองประเทศมีหน้าที่ทำให้แผ่นดิน ไม่ใช่มีหน้าที่ทำเอาเพื่อตัวเอง
พร้อมระบุว่า หลักใหญ่ของบ้านเมืองถ้าไม่แยกผิดถูก ดีชั่ว โดยเอาแต่อารมณ์ความรู้สึกเป็นเกณฑ์วัดเป็นพวกพ้องต้องถูก พวกอื่นต้องผิดแล้วบ้านเมืองจะถูกปั่นหัวอยู่อย่างนี้ ซึ่งเป็นวิธีการที่ชั่วช้าอย่างยิ่ง
รวมทั้งกล่าวว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แตกยับป่นปี้ เพื่อเข้าไปยึดครอง และให้ท้าย สส.ไทยสร้างไทยหลีกหนีระเบียบวินัยของพรรค อาการทำลายพรรคเช่นนี้เหมือนในยุคพรรคไทยรักไทยดึงทำลายพรรคอื่นมาเข้าสังกัด แล้วชนะเลือกตั้งท่วมท้น ตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว ที่สุดก็ปกครองได้ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในปรากฎการณ์แบ่งแยกทำลายพรรคการเมืองนั้น พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จะเป็นพรรคต่อไปที่จะมีปัญหาแล้วพังพินาศ ถ้าเลขาธิการไม่ถูกพิจารณาคุณสมบัติให้เป็น รมต. ดังนั้นพฤติกรรมทำลายพรรคการเมือง จึงไม่แตกต่างกับระบบพรรคการเมืองก่อนการเลือกตั้งปี 2548 ที่ถูกครอบครองภายใต้สั่งการของพรรคไทยรักไทย
นายจตุพร กล่าวว่า พฤติของคนอย่างนี้ยังเกิดขึ้นตามลำดับถึงขั้นผยอง พูดเหิมเกริมว่า เดินผ่านไปได้ยินเกี่ยวกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต อย่างนี้ก็มีด้วยหรือ ดังนั้น การพูดเช่นนี้คือไม่แยแส ไม่สนใจคำวินิจฉัยของศาล รธน.ว่าด้วยปัญหาจริยธรรมของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ แต่กลับเรียกแกนนำพรรคร่วมมาหารือที่บ้านจันทร์ส่องหล้า
อีกทั้งกล่าวว่า การเมืองแบบไม่รับผิดชอบคำพูดสัญญากับประชาชน กลับเปลี่ยนไปมาไม่มีความแน่นอน ปลิ้นปล้อน ย่อมทำให้สังคมอยู่กันด้วยความลำบากกับการถูกหลอกลวง ดังนั้น พรรคการเมืองที่ดีต้องมาด้วยความพร้อมกับธรรมาภิบาล
สิ่งสำคัญ ตอนหาเสียงทำให้คน 10 ล้านคนหลงเชื่อมาลงคะแนนให้ว่า จะไม่จับมือกับ 3 ป. ไม่กู้มาแจกดิจิทัลโดยจะเก็บภาษีได้เพิ่มมาทำโครงการ แล้วทำได้หรือไม่ ดังนั้น ในทางการเมืองต่อไปพรรคจะหาเสียงหลอกลวงประชาชนอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือไม่? เมื่อมาเป็นรัฐบาลก็ไม่ทำตามการหาเสียง แล้วหาเหตุผลมาอธิบายเอาตัวรอดในวันข้างหน้า
“ส่วนประชาชนสะท้อนถึงไม่มีมาตรฐานทางการเมืองและความน่าเชื่อถือด้วย โดยสมัยปี 2535 พล.อ.สุจินดา คราประยูร โกหกครั้งเดียวยังไม่ให้โอกาส แต่วันนี้รัฐบาลโกหกทุกวันยังให้โอกาสมาบริหารประเทศ พวกนางแบก นายแบก กองเชียร์ เร่งโหมอธิบายปั่นหัว คอยช่วยเหลือกันอีก”
นายจตุพร กล่าวว่า การคัดค้านนโยบายดิจิทัล ขายคอนโดฯ บ่อนคาสิโน และแลนด์บริดจ์ ไม่ใช่อคติ แต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ชาติ ถ้าประชาชนไม่เป็นผู้ตื่นรู้ภัย ไร้สำนึกความรักชาติ เอาแต่รักตัวบุคคลแล้ว จะถูกปั่นหัวเล่น ดังนั้น ประชาชนต้องมีสำนึกลุกขึ้นมาต่อต้านคนที่คิดร้ายต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งเราหวังว่า คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อบ้านเมืองทำไมจึงไม่ทำหน้าที่
"คุณต้องทำหน้าที่สิว่ะ ใครเอามา เลี้ยงหลานหรือไม่ เห็นมั้ยเบี้ยวตั้งแต่งานแรกแล้ว ยังประกาศว่าแก่แล้ว ไม่ยุ่งการเมือง วันนี้เป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า อีกอย่างคุณภาพของรัฐบาลก็สะท้อนถึงคุณภาพประชาชนเช่นกัน โดยประชาชนเป็นอย่างไรก็ได้รัฐบาลพันธุ์แบบนี้ ถ้าประชาชนแข็งแรงมันจะได้รัฐบาลแบบนี้เหรอ คือเป็นรัฐบาลหลอกลวงประชาชนซ้ำซาก ปลิ้นปล้อนไปวันๆ"
นายจตุพร กล่าวถึงการนำประชาชนลงถนนเพื่อคัดค้านนโยบายที่ทำลายชาติบ้านเมืองว่า ต้องอดทนรอ จนถึงวันที่หมดทางเลือกอื่นแล้วจึงคิดหารือร่วมกัน แต่เมื่อยังมีทางอื่น เป็นทางแห่งความหวังที่ประชาชนมีมาตรฐานในการไตร่ตรองเอาชาติบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง และจะปล่อยให้บ้านเมืองอยู่แบบเละเทะเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ เพราะที่สุดบ้านเมืองนี้จะไม่เหลืออะไร
#จตุพรพรหมพันธุ์ #ทักษิณชินวัตร #พรรคเพื่อไทย #ข่าวการเมือง