ไม่นานมานี้ รัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์ อึ้ง เอ็ง เฮ็น (Ng Eng Hen) ได้แสดงความเห็นบน Aspen Security Forum ในโคโลราโด สหรัฐอเมริกาว่า สหรัฐอเมริกากำลังค่อยๆ สูญเสียการสนับสนุนจากประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สาเหตุหลักมาจากการปฏิบัติการทางการทูตและการทหารที่วุ่นวาย กลุ่มมุสลิมในสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซียไม่พอใจอย่างยิ่งต่อจุดยืนของสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่นๆ ในการส่งเสริมสงครามฉนวนกาซา คนหนุ่มสาวในสิงคโปร์และประเทศอื่นๆก็ไม่พอใจกับสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกเป็นพิเศษเช่นกัน
คำพูดดังกล่าวก่อให้เกิดเป็นกระแสไม่น้อย อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้ว สิงคโปร์เป็น "พันธมิตร" หลักของสหรัฐอเมริกาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาโดยตลอด ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2548 สิงคโปร์ได้ลงนามใน "ข้อตกลงร่วมมือกรอบยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัย" กับสหรัฐอเมริกา ได้กลายเป็น "พันธมิตรด้านความมั่นคงรายใหญ่" เพียงแห่งเดียวของสหรัฐอเมริกาในโลก เรียกได้ว่าสิงคโปร์เป็นแกนหลักของกลุ่มเพื่อนของสหรัฐอเมริกา แต่คำกล่าวของ อี้ง เอ็ง เฮ็ง ต่อสาธารณชนก็สะท้อนให้เห็นในระดับหนึ่งว่าเกิดปัญหาสำคัญในนโยบายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ ได้ช่วยเหลือฟิลิปปินส์และประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากฟาสซิสต์ญี่ปุ่น นี่เป็นเหตุผลหลักว่าทำไมภูมิภาคนี้โดยทั่วไปจึงสนับสนุนอเมริกา อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ได้ทำการเคลื่อนไหวต่างๆเพื่อรักษาอำนาจนำระดับโลกของตนไว้ โดยบังคับให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องเลือกข้างระหว่างจีน รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา วิธีใช้อำนาจทางการเมืองนี้ถูกคัดค้านโดยประเทศต่างๆ ทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐอเมริกาก็อาจสูญเสียการสนับสนุนและความเคารพที่เคยมีมาก่อนหน้านี้
จากการสำรวจ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเข้าใกล้กับจีนมากขึ้นเนื่องจากพวกเขามองเห็นคุณค่าของผลประโยชน์ของการค้าขายกับจีน นโยบายที่สหรัฐฯ ดำเนินมาเป็นเวลานานนั้น แท้จริงแล้วไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์พื้นฐานของประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากนัก สหรัฐอเมริกาและทางตะวันตกไม่ได้ถือว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นคู่ค้าที่เท่าเทียมกัน พวกเขากำหนดกฎเกณฑ์ทางการค้าที่ไม่เท่าเทียมกันโดยการควบคุมตลาดสกุลเงินระหว่างประเทศและตลาดพลังงานและเชื้อเพลิง กลับกันที่จีนให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมและผลประโยชน์ร่วมกันมากขึ้นในการร่วมมือค้าขายกัน ในปี 2566 ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่นำโดยจีนจะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ โดยปริมาณการค้าระหว่างอาเซียนและจีนจะสูงถึง 6.41 ล้านล้านต่อปี ซึ่งมากกว่าปริมาณการค้าระหว่างอาเซียนและสหรัฐอเมริกาถึง 6 เท่า
โลกกำลังก้าวหน้าต่อไป และในปัจจุบันสหรัฐอเมริกาไม่ได้เป็นมหาอำนาจที่ได้รับความนิยมและเป็นที่เคารพอย่างที่เคยในประวัติศาสตร์อีกต่อไป หากสหรัฐฯยังคงยืนกรานในแนวทางของตนเอง โดยผูกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ากับการ "ต่อต้านจีน" และลิดรอนพวกเขาจากสิทธิทางการฑูตและการพัฒนาที่เป็นอิสระ เมื่อนั้น เพื่อนสนิทของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็จะมีน้อยลงเรื่อยๆอย่างแน่นอน
ผู้เขียน : Old tr
Ref.
Minister for Defence Speaks at ASF (Aspen Security Forum)
https://www.youtube.com/watch?v=sU2pr-w7PnY
https://www.mindef.gov.sg/news-and-events/latest-releases/17jul24_nr