AAI ผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ของไทย โชว์ผลงานไตรมาส 2/67 ยอดเยี่ยม รายได้โต 43.5% กำไร 300 ล้านบาท โต 1,041.9% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 25.7% หลังดีมานด์กลุ่มอาหารสัตว์โตไม่แผ่ว ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรกเติบโตดี รายได้เพิ่ม 23.9% ส่วนกำไรโตสูงถึง 449.7% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญแตะ 16.9%
เมื่อวันที่ 21 ส.ค.67 นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ผู้รับจ้างผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Shelf-stable Food) ชั้นนำของประเทศ และเจ้าของแบรนด์ “monchou” “Hajiko” และ “Pro” ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับแมวและสุนัข เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ว่า บริษัทฯ มีรายได้ 1,717 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.5% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 1,196 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 15.31% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 ที่ทำได้ 1,489 ล้านบาท โดยมีปริมาณการขาย 10,548 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 32.5% จากไตรมาส 2/2566 ที่ 7,958 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากปริมาณขายอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มมากถึง 44.9% เนื่องจากลูกค้าเจ้าของแบรนด์ใหญ่ในกลุ่มรับจ้างผลิตต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังปี 2566 อุปสงค์ลดจากสถานการณ์สินค้าคงคลังเหลือค้างจำนวนมาก ขณะที่สัดส่วนกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกลดลง แต่สามารถเลือกรับคำสั่งซื้อที่มีอัตรากำไรดีตามนโยบายได้ ประกอบกับราคาทูน่าก็ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 2 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 25.7% ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดของบริษัทฯ และดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 12.7% อีกทั้งดีกว่าไตรมาส 1/2567 ที่ระดับ 20.8%
ขณะที่กำไรสุทธิ ไตรมาส 2/2567 ทำได้ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงถึง 1,041.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 26 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 23.96% จากไตรมาส 1/2567 ที่ 242 ล้านบาท แม้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายดำเนินการเพิ่มขึ้น แต่สามารถชดเชยจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และยังมีปัจจัยบวกจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง รวมทั้งมีรายได้จากดอกเบี้ยรับจากเงินฝากธนาคารและเงินให้กู้ยืมจากบริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.14 บาท ปรับขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ 0.01 บาท/หุ้น และไตรมาสก่อนหน้าที่ทำได้ 0.11 บาท/หุ้น
สำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรก 2567 รายได้อยู่ที่ 3,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 23.9% ที่ทำได้ 2,587 ล้านบาท จากปริมาณการขาย 19,977 ตัน เพิ่มขึ้น 13.8% จากครึ่งปีแรก 2566 อยู่ที่ 17,551 ตัน โดยส่วนใหญ่มาจากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น 28.8% ขณะที่รายได้และปริมาณการขายกลุ่มอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึกลดลง 30.1% และ 29.3% ตามลำดับ หลังไม่มีแรงกดดันจากการบริหารแรงงานส่วนเกินเหมือนปี 2566 ทำให้สามารถเลือกรับคำสั่งซื้อที่มีอัตรากำไรดีตามนโยบายได้ ประกอบกับอัตรากำไรในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงสูงกว่ากลุ่มอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึก จึงส่งผลให้บริษัทฯ สามารถทำอัตรากำไรที่ดีขึ้น ทั้งอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 23.4% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 16.9% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกปีก่อนอยู่ที่ 10.9% และ 3.8% ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิครึ่งปีแรกทำได้ 542 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 449.7% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกปีก่อนที่ 99 ล้านบาท
ส่วนรายได้จากแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัทฯ ยังลดลง จากสภาพตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคาจากแบรนด์ที่เข้ามาใหม่ ทำให้บริษัทฯ มีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมเพิ่มช่องทางการจำหน่ายในประเทศทั้งออฟไลน์และออนไลน์ อีกทั้งทำกิจกรรมการตลาดเพื่อสามารถเข้าถึงลูกค้าได้โดยตรง ส่วนผลประกอบการอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด ไท่หย่า เหม่ยซื่อ ประเทศจีน ยังขาดทุนตามการแข่งขันที่รุนแรงและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภคที่เน้นซื้อสินค้าราคาประหยัด โดยปัจจุบันบริษัทฯ กำลังปรับกลยุทธ์และการดำเนินให้สอดคล้องการแข่งขันและทันต่อความต้องการของผู้บริโภค
นายเอกราช กล่าวถึงการดำเนินงานช่วงที่เหลือของปีนี้ว่า บริษัทฯ ยังคงเป้ารายได้ของปี 2567 ไว้ที่ 6,500 ล้านบาท หรือเติบโต 19% จากปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 5,439 ล้านบาท แต่มีการปรับโครงสร้างสัดส่วนรายได้เนื่องจากมองว่ารายได้จากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงจะได้รับการตอบรับดีเกินเป้าหมายที่คาดไว้เดิม 5,400 ล้านบาท เป็น 5,700 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30.9% จากปีก่อนที่ทำได้ 4,400 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกน่าจะมีรายได้ลดลงมาอยู่ในระดับ 800 ล้านบาท หรือลดลง 27.3% จากเป้าหมายเดิมที่คาดว่ารายได้จะทรงตัวในระดับเดียวกับปี 2566 ที่ทำไว้ 1,100 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เพิ่มเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นปี 2567 อีกครั้ง มาอยู่ในระดับ 20-21% จากเดิมก่อนหน้าตั้งเป้าไว้ที่ 17-18% เมื่อเทียบกับปี 2566 ทำได้ 13.2% เนื่องจากครึ่งปีแรกทำได้สูงถึง 23.4% โดยจากสัดส่วนรายได้อาหารสัตว์เลี้ยงจะขยายตัวได้ดีตามอุปสงค์เจ้าของแบรนด์ขนาดใหญ่ต้องการผลิตสินค้าอีกมากเพื่อขยายตลาดและชิงส่วนแบ่งการตลาด อีกทั้งยังมีลูกค้ารายใหม่เข้ามาร่วมธุรกิจต่อเนื่อง ประกอบกับคาดว่าบริษัทฯ จะมีการเติบโตจากการขายอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ดเพิ่มขึ้นอีกจากโอกาสในการว่าจ้างบริษัท เอเชี่ยน นิวทริชั่น จำกัดผลิต ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในกลุ่มอาหารพร้อมทานฯ คาดยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ราคาทูน่ามีการปรับเพิ่มขึ้นแต่ยังถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้มีโอกาสเลือกรับคำสั่งซื้อที่มีทีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีตามนโยบายบริษัทได้
"คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นช่วงที่เหลือของปีนี้จะย่อตัวลงจากครึ่งปีแรกที่ทำได้ 23.4 % จากกรณีค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ในขณะที่ยอดขายอาจได้รับแรงกดดันจากค่าระวางเรือขนส่งสินค้าที่ปรับตัวขึ้น อีกทั้งยอดขายแบรนด์ของบริษัทฯ ทั้งในประเทศไทยและจีนยังเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมากตามเป้าหมายระยะยาวและแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ" นายเอกราช กล่าว
สำหรับความคืบหน้าแผนการลงทุน บริษัทฯ เริ่มปรับปรุงอาคารผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแล้วตามแผน และปรับแผนเพิ่มกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงทั้งในกลุ่มบรรจุกระป๋องเพิ่มอีก 1,800 ล้านตัน/ปี และกลุ่มบรรจุถุงเพาซ์อีก 2,400 ตัน/ปี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้ได้ภายในไตรมาส 1/2568 และขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมโครงการก่อสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 เพื่อรองรับการขยายตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในอนาคต คาดว่าจะยังคงใช้งบลงทุนสำหรับปีตามแผนงบประมาณที่กำหนดไว้ที่ 430 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีแรก จำนวน 379 ล้านบาท คิดเป็น 0.1785 บาท/หุ้น และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 20 สิงหาคม 2567 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 4 กันยายน 2567