จากกรณีตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ร่วมกันจับกุม น.ส.บุญญิสา หรือเจ๊ปุ้ย ในความผิดฐาน “สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากการบังคับใช้แรงงาน การเอาคนลงเป็นทาสหรือมีลักษณะคล้ายทาส และการอื่นใดที่คล้ายคลึงกันอันเป็นการขูดรีดบุคคลไม่ว่าบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติฯ“ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด วันที่ 20 ส.ค.67 พ.ต.ต.จอมพฤทธิ์ แก้วเรือง สว.กก.6 บก.ป. พร้อมด้วย ร.ต.ท.วุฒิพงษ์ สุพรรณชนะบุรี, ร.ต.ท.ภูธร ทองทวี รอง สว.กก.6 บก.ป. และเจ้าพนักงานตำรวจ ชป.6 กก.6 บก.ป. ได้ร่วมกันจับกุม นายแสนดี อายุ 44 ปี บริเวณห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านร่มเกล้า แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาที่ 3797/2567 ลง 15 ส.ค. 2567 ในความผิดฐาน “สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากการบังคับใช้แรงงาน การเอาคนลงเป็นทาสหรือมีลักษณะคล้ายทาส และการอื่นใดที่คล้ายคลึงกันอันเป็นการขูดรีดบุคคลไม่ว่าบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และผู้สมคบคนหนึ่งคนใดได้ลงมือกระทำความผิดตามที่ได้สมคบกัน ร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปหรือโดยสมาชิกองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากการบังคับ ใช้แรงงานหรือบริการ การเอาคนลงเป็นทาสหรือมีลักษณะคล้ายทาส และการอื่นใดที่คล้ายคลึงกันอันเป็นการขูดรีดบุคคลไม่ว่าบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม , ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขื่นใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้นไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น , ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด พาหรือส่งคนออกไปนอกราชอาณาจักร”
สืบเนื่องจากต้นปี 2565 นายโจ้ (นามสมมติ) ได้ถูกชักชวนให้ไปทำงานที่บ่อนคาสิโนของประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อไปถึงแล้ว พบว่าตนได้ถูกบังคับให้เป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงเหยื่อผ่านแอพพลิเคชันหาคู่ แล้วหลอกลวงให้ลงทุน โดยมีชาวต่างชาติเป็นหัวหน้าคอยควบคุมสั่งการ ในระหว่างที่ทำงานนั้นไร้ซึ่งอิสรภาพและถูกบังคับให้ทำงาน โดยมีคนไทยและคนเวียดนามอีกหลายคน หากใครไม่สามารถทำงานได้ตามเป้าหมาย ก็จะถูกให้อดอาหาร ไปจนถึงทำร้ายร่างกาย ตนได้ขอกลับบ้าน แต่ นายปอ ซึ่งเป็นหัวหน้าคุมพนักงานคอลเซ็นเตอร์ชาวไทย ได้บอกว่า หากต้องการกลับบ้านต้องจ่ายเงินแลกกับอิสรภาพ ตนจึงให้ทางบ้านหาเงินมาจ่ายให้ จนสามารถกลับประเทศไทยได้
ต่อมานายโจ้ ได้เข้าให้ข้อมูลกับเจ้าพนักงานตำรวจ พร้อมยืนยันตัวบุคคล โดยระบุว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้มีการแบ่งหน้าที่กันหลอกลวงเป็นขบวนการ เริ่มจากการฝึกสอนการหลอกลวง จากชาวต่างชาติผ่านล่ามแปลชาวไทย ฝ่ายไอทีในการทำระบบหลอกลวง และฝ่ายที่คอยควบคุมดูแลพนักงานคอลเซ็นเตอร์ ทั้งนี้เป็นที่น่าตกใจว่า มีพนักงานคอลเซ็นเตอร์ชาวไทยส่วนหนึ่ง ที่สมัครใจทำงาน โดยแสดงความดีใจให้เห็นเมื่อหลอกลวงเหยื่อได้ และได้รับผลประโยชน์จากการหลอกลวงนั้น โดยทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับผิดชอบคดีนี้ และได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง
โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตำรวจ กก.6 บก.ป. ได้ติดตามจับกุม น.ส.วันวิสาข์ ที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ หนึ่งในเครือข่ายของนายปอ จากการสืบสวนขยายผลได้ทราบว่า ขบวนการนี้มี น.ส.บุญญิสา หรือ เจ๊ปุ้ย เป็นหัวหน้าที่อยู่เหนือกว่านายปอ อีกชั้นหนึ่ง เป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ถือเป็นผู้ร้ายรายสำคัญที่เจ้าพนักงานของรัฐต้องการตัว กก.6 บก.ป. จึงได้สืบสวนก่อนจับกุมไว้ได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ นำตัวส่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทางคดีได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นายแสนดี หรือเสี่ยก้อง สามีของ น.ส.บุญญิสา หรือเจ๊ปุ้ย เป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเช่นกัน และยังคงทำงานหลอกลวงคนไทยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้ขอศาลอนุมัติหมายจับนายแสนดี และ ตำรวจ กก.6 บก.ป. ได้สืบสวนทราบ นายแสนดี ได้เดินทางกลับมาบ้านตามภูมิลำเนาที่ กรุงเทพฯ จึงได้เข้าตรวจสอบ จนสามารถติดตามจับกุมได้ นำส่ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สอบถามคำให้การเบื้องต้น ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การอ้างว่า ตนเป็นเหยื่อเช่นเดียวกับบุคคลอื่น ๆ โดยถูกนายปอ หลอกไปทำงานหลอกลวงคนไทย ในขณะที่ทำงานก็ถูกจำกัดเสรีภาพ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากการสืบสวนพบว่า นายแสนดี ผู้ต้องหารายนี้ เป็นหัวหน้า ระดับสั่งการของนายปอ อย่างไรก็ตามจะเร่งสืบสวน และขยายผลจับกุมทั้งขบวนการต่อไป