ทักษิณ อารมณ์ดี ยิ้มแย้ม สวมเสื้อเหลืองเดินทางมาศาล ตรวจพยานหลักฐานคดี ม.112 ปฏิเสธทุกข้อหา ยันไม่กังวล ชี้เป็นคดีกระชับอำนาจหลังเกิดรัฐประหาร พร้อมบอกสื่อไม่มีอะไร หลังยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมอีก 14ปาก ขณะที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก "นิว-จตุพร" 2 ปี ไม่รอลงอาญา แต่งชุดไทยเลียนแบบราชินี
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาฯ เมื่อวันที่ 19 ส.ค.67 ศาลอาญานัดตรวจพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์กับเดอะโชซอนมีเดีย (The ChosunMedia) ของเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน โดยนายทักษิณได้รับการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยตีราคาประกัน 5 แสนบาท กำหนดเงื่อนไขห้ามนายทักษิณเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายทักษิณได้เดินทางมายังศาลโดยสวมเสื้อสีเหลืองใส่สูทดำคลุมทับ ซึ่งได้กล่าวกับสื่อมวลชนที่มาปักหลักรอทำข่าวก่อนขึ้นห้องพิจารณาคดี ว่า ไม่มีความกังวล เป็นคดีที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติใหม่ๆ เป็นการใช้กฎหมายกระชับอำนาจ ส่วนเรื่องพยานเป็นเรื่องของทนายความ เมื่อถามว่า ที่ใส่เสื้อสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์อะไรหรือไม่ นายทักษิณ ไม่ได้ตอบ และเดินห้องขึ้นพิจารณา
สำหรับการรักษาความปลอดภัยของศาลอาญาเป็นไปตามปกติ แต่ในส่วนอัตรากำลังมีการขอกำลังเสริมจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล 2 และเจ้าพนักงานตำรวจศาลมาเพื่ออำนวยความสะดวกในกรณีที่มีมวลชนเข้าในพื้นที่ เบื้องต้นศาลอาญาไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟังการพิจารณาคดี แต่จะจัดพื้นที่ไว้ตรงบริเวณบันไดหน้าอาคารจุดเดิม ส่วนรายละเอียดข่าวอาจจะมีการทำเอกสารข่าวแจกแก่สื่อมวลชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังใช้เวลาตรวจพยานหลักฐานประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ประมาณ 11.30 น. นายทักษิณได้เดินออกมาจากศาลอาญา โดยถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง บริเวณด้านหน้าศาล ระหว่างที่นายทักษิณกำลังขึ้นรถกลับ ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามบรรยากาศในการนัดตรวจพยานหลักฐานว่าเป็นอย่างไรบ้าง นายทักษิณ ได้โบกมือพร้อมกล่าวเพียงสั้นๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ว่า ก็ไม่มีอะไร จากนั้นได้เดินทางขึ้นรถกลับออกไปทันที
ต่อมา นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ เปิดเผยว่า วันนี้ได้สอบคำให้การจำเลย โดยนายทักษิณให้การปฏิเสธพร้อมกับเสนอพยานหลักฐาน ประกอบด้วยพยานบุคคลฝ่ายจำเลยจำนวน 14 ปาก และพยานเอกสารอื่นๆ ซึ่งจะนำเสนอในชั้นพิจารณาคดีต่อไป ส่วนฝ่ายโจทก์มีพยานทั้งสิ้น 10 ปาก เชื่อว่ามีการสอบสวนไปแล้วและฝ่ายโจทก์ไม่ได้อ้างพยานเพิ่มเติม เนื่องจากอาจจะเห็นว่าเป็นพยานที่ไม่มีประโยชน์หรืออาจเป็นพยานที่ไม่สามารถพิสูจน์ความผิดของฝั่งจำเลยได้
นอกจากนี้ ยังมีพยานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตามคลิปที่ปรากฏในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่ง นายวิญญัติ กล่าวยืนยันว่า คลิปที่มีการส่งตรวจตั้งแต่แรก เป็นการรวบรวมจากระบบอินเตอร์เน็ตลงในแผ่นซีดี ไม่ใช่หลักฐานจากสถานที่จริง เจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบคลิปที่เป็นประเด็นยืนยันว่าคลิปดังกล่าวไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ถึงความเป็นต้นฉบับ การตัดต่อและการแปลความเป็นภาษาไทยก็ไม่สมบูรณ์ ในเรื่องนี้มีภาษาอังกฤษเพียงคำเดียวที่เป็นปัญหาและนำไปสู่การกล่าวหานายทักษิณ ซึ่งสอดคล้องกับที่ตนได้เคยแถลงก่อนหน้านี้ว่าหลักฐานของฝ่ายโจทก์เป็นเพียงการรวบรวมคลิป
เรื่องคลิปที่ไม่ได้มาจากต้นฉบับจะนำมาเป็นข้อต่อสู้ของจำเลยได้อย่างไรนั้น ยังไม่สามารถลงรายละเอียดในเวลานี้ได้ หลังจากนี้จะเป็นการพิสูจน์ความจริงต่อศาล ขึ้นอยู่กับศาลจะรับฟังพยานหลักฐานและมีคำวินิจฉัยอย่างไร มองว่าเรื่องนี้นายทักษิณถูกกระทำจากระบบการกล่าวหา ซึ่งระบบการกล่าวหาของประเทศไทยยังมีปัญหา หากมีโอกาสก็ควรมีการแก้ไข
สำหรับการสืบพยานหลังจากนี้มีทั้งหมด 7 นัด โดยฝ่ายโจทก์นัดในวันที่ 1, 2 และ 3 ก.ค.68 นัดสืบพยานฝ่ายจำเลยจะสืบพยานในวันที่ 15, 16 , 22 และ 23 ก.ค.68 หลังจากนั้นจะจัดทำคำพิพากษาของศาลต่อไป ซึ่งหลังการนัดสืบพยานในปีหน้านั้นเนื่องจากศาลอาญาเป็นศาลใหญ่ มีคดีจำนวนมาก ต้องนัดสืบพยานไปตามลำดับของคดี ส่วนจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่นั้น ตนเองไม่มีความเห็น
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ฝ่ายจำเลยจะขอยื่นสืบพยานลับหลังหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า ได้รับการยืนยันจากทักษิณว่าท่านพร้อมที่จะมาสืบพยานทุกนัด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยตัวเองและพิสูจน์ว่าที่ผ่านมาไม่มีเจตนาที่จะก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ และพร้อมที่จะได้แสดงความจงรักภักดีเพื่อให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งประชาชนคนไทยก็เห็นได้อยู่แล้ว แต่ทั้งนี้หากศาลอนุญาตให้มีการสืบพยานลับหลัง ท่านอาจจะไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง ส่วนนายทักษิณจะมีกำหนดการเดินทางไปต่างประเทศอีกหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา และในการต่อสู้คดีนี้ นายทักษิณมีความมั่นใจ ไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ
วันเดียวกัน เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หมายเลขคดีดำที่ อ.1265/2564 ของ น.ส.จตุพร แซ่อึง หรือ นิว ในข้อหากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ กรณีการชุมนุมแต่งกายชุดไทยร่วมกิจกรรมแคตวอล์กราษฎรเมื่อวันที่ 29 ต.ค.63 บริเวณหน้าวัดพระศรีอุมาเทวี (วัดแขกสีลม) เรียกร้องเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบัน
โดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก นิว จตุพร แซ่อึง 2 ปี และปรับ 1,000 บาท ไม่รอลงอาญา โดยเห็นว่ามีความผิด ม112 พรบ.ชุมนุม กรณีแต่งชุดไทยเข้าร่วมเดินแฟชั่นโชว์ในการชุมนุม ภาษีกู บริเวณหน้าวัดแขก ถนนสีลม เมื่อปี 2563 เห็นว่าขณะจำเลยเดินออกมาจากหลังแผ่นป้าย ผู้คนได้ตะโกนคำว่าทรงพระเจริญ โดยผู้ชุมนุมยื่นมือออกไปเพื่อขอจับและจำเลยหยุดให้จับมือด้วยผู้คนตะโกนว่าพระราชินีอยู่ตลอดทาง แสดงให้เห็นว่าจำเลยยอมรับว่าตนเองนั้นแสดงการเลียนแบบพระราชินี และไม่ปฏิเสธโดยได้แสดงออกด้วยการยอมรับต่อไป จากนั้นได้มี สายน้ำ เดินตามออกมาจากจำเลยด้วย เมื่อพิจารณาสถานที่และผู้คนซึ่งตะโกนโห่ร้องเสียดสีแสดงให้เห็นว่าจำเลยแสดงออกว่าตนเองนั้นเป็นราชินี และ สายน้ำ เลียนแบบว่าตนเองนั้นเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ผู้ใดจะละเมิดในทางใดไม่ได้ ผู้คนให้การเทิดทูนไว้เหนือเกล้าจะกระทำการอันละเมิดไม่ได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่น หมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้าย ตาม ม.112