ได้เวลาสางแค้น สวนกลับ ต่อ “รัสเซีย” แล้ว สำหรับ “ยูเครน” ที่มีปฏิบัติการทางทหารตลอดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาในดินแดนของรัสเซีย

ภายหลังจากก่อนหน้านั้น ตลอดช่วงเกือบ 2 ปี 6 เดือน หรือตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 (พ.ศ. 2565) เป็นต้นมา “ยูเครน” แทบจะตกเป็นเป้าถล่มอยู่ข้างเดียว จากการถูกกองทัพรัสเซียโจมตีทั้งทางบกและทางอากาศ จนประเทศภินท์พังในแทบจะทุกๆ ด้าน

ทว่า นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมที่เพิ่งผ่านพ้นมานี้ ปรากฏว่า “ยูเครน” ได้เริ่ม “เอาคืน” ต่อ “รัสเซีย” เข้าให้บ้าง ด้วยการส่งกองทัพถล่มโจมตี “แคว้นคุสค์” หรือ “ภูมิภาคคุสค์” แว่นแคว้นดินแดนที่อยู่ทางตะวันตกของรัสเซีย ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศยูเครน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเลยก็ว่าได้ ที่รัสเซีย ถูกกองทัพต่างชาติ ย่ำดินแดนพร้อมกับถล่มโจมตีถึงในประเทศของตนครั้งใหญ่ที่สุด

ในปฏิบัติการโจมตีทางทหารของกองทัพยูเครนข้างต้น ก็ต้องบอกว่า เป็นไปด้วยความหนักหน่วง ถึงขนาดทำให้ทางการรัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ต้องมีคำสั่งอพยพประชาชนจำนวนกว่า 180,000 คน ออกจากบ้านเรือน ไปพำนักอาศัยตามศูนย์พักพิงชั่วคราวกันเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ก็มีรายงานว่า ประชาชนชาวรัสเซียจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถอพยพได้ทัน นอกจากนี้ จากปฏิบัติการทางทหารอย่างหนักหน่วงในพื้นที่แคว้นคุสค์ของกองทัพยูเครน ก็ยังส่งผลให้กองทัพยูเครน สามารถยึดครองพื้นที่ของรัสเซียได้ถึง 1,150 ตารางกิโลกเมตร ครอบคลุมพื้นที่ชุมชนตั้งถิ่นฐานถึง 82 แห่งในแคว้นคุสค์ ตามคำกล่าวอ้างของทางการยูเครน ที่มีขึ้นเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พื้นที่ที่ถูกยูเครนกล่าวอ้างว่า ยึดครองมาได้จากรัสเซียดังกล่าว ก็ยังรวมถึงเมืองซุดชา ซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญของรัสเซียอีกต่างหากด้วย

นอกจากนี้ กองทัพยูเครน ก็ถึงขั้นจัดตั้ง “ศูนย์บัญชาการทหาร” ในแคว้นคุสค์ ที่พวกเขายึดครองมาได้จากรัสเซียอีกต่างหากด้วย โดย “ศูนย์บัญชาการทหาร” ที่ยูเครน เข้าไปจัดตั้งในครั้งนี้ ก็อยู่ในเมืองซุดชา เมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในแคว้นคุสค์ของรัสเซีย นั่นเอง

โดยศูนย์บัญชาการทหารที่ยูเครนเข้าไปจัดตั้ง อย่างไม่ผิดอะไรกับการเหยียบจมูกพญาหมี คือ รัสเซีย ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นฐานบัญชาการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการสู้รบกับกองทัพรัสเซีย การรักษาความสงบเรียบร้อยให้บังเกิดขึ้นในแคว้นคุสค์ รวมถึงใช้เป็นฐานในปฏิบัติการทางจิตวิทยา หรือปจว. แก่ประชาชนในพื้นที่ไม่ให้บังเกิดอาการหรือท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองทัพยูเครนที่บุกข้ามพรมแดนเข้ามา ด้วยการจะตอบสนองอย่างเร่งด่วนต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ในด้านต่างๆ

ตามรายงานข่าวก็ระบุว่า ปฏิบัติการทางทหารของยูเครนที่มีต่อรัสเซียข้างต้น ก็ได้รับ “ไฟเขียว” คือ การอนุญาตจากบรรดาชาติมหาอำนาจตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกา อันรวมไปถึงกลุ่มชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นผู้นำอีกเช่นกัน ที่เปิดไฟเขียว ให้ยูเครน ได้สางแค้น เอาคืนต่อรัสเซียบ้าง

ทั้งนี้ มีรายงานว่าบรรดาชาติมหาอำนาจตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ ได้เปิดไฟเขียวข้างต้นนั้น ก็ได้ส่งสัญญาณท่าทีเป็นเวลานานหลายเดือนแล้ว หรือตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาก็ว่าได้

หน่วยเสนารักษ์รักษาพยาบาลทหารรัสเซียที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบกับกองทัพยูเครน ในแคว้นคุสค์ของรัสเซีย (Photo : AFP)

ทั้งจากการอนุญาตของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งมีขึ้นเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม และทางการของเหล่าชาติมหาอำนาจตะวันตกอื่นๆ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง

ส่งผลให้ไม่ผิดอะไรกับแรงกระตุ้นเตือนต่อทางการยูเครน ได้มีปฏิบัติการทางทหาร เพื่อสางแค้นคืนต่อรัสเซียเข้าให้บ้างเป็นการตอบโต้ เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่เพิ่งผ่านพ้นมา

ทว่า ก็สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อทางการรัสเซีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดีปูติน ที่ถึงขนาดออกมาขู่คำรามต่อชาติมหาอำนาจตะวันตกและนาโต ถึงการเปิดไฟเขียวให้ยูเครน บุกเข้ามาถล่มถึงในดินแดนรัสเซีย โดยประธานาธิบดีปูติน ยังได้ขู่ว่า ไม่ผิดอะไรกับการเล่นกับไฟ ที่อาจก่อให้เกิดสงครามนิวเคลียร์กับบรรดาชาติมหาอำนาจตะวันตกเหล่านั้น เพื่อเป็นการตอบโต้ที่ยุยงยูเครน

นอกจากไฟเขียวเรื่องปฏิบัติการทางทหารแล้ว เหล่าชาติมหาอำนาจตะวันตก อันรวมถึงนาโต ที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำนั้น ก็ยังมีไฟเขียว เปิดทางอนุญาตให้กองทัพยูเครน สามารถใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่เหล่าชาติมหาอำนาจตะวันตกบริจาคให้มานั้น ไปใช้ถล่มโจมตีต่อรัสเซีย ถึงในดินแดนรัสเซียได้อีกต่างหากด้วย

ไม่ว่าจะเป็นจรวด ขีปนาวุธพิสัยใกล้ โดรนทางทหาร รถถังรุ่นต่างๆ หรือแม้กระทั่งเครื่องบินรบ เครื่องบินขับไล่ ที่มีเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ซึ่งบรรดาชาติมหาอำนาจตะวันตกบริจาคให้แก่ยูเครน สามารถนำไปใช้เป็นอาวุธถล่มโจมตีเป้าหมายในดินแดนของรัสเซียได้ ไม่ใช่เพียงปฏิบัติการป้องกันประเทศเหมือนเฉกเช่นที่ผ่านมาเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะการจำกัดเพียงเพื่อการใช้ป้องกันประเทศดังกล่าว กลับกลายเป็นว่า หลายครั้งหลายหน อาวุธของชาติมหาอำนาจตะวันตกที่บริจาคให้ยูเครน ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีจากกองทัพรัสเซีย จนทำให้อาวุธดังกล่าวได้รับความเสียหายถูกทำลายไปมิใช่น้อย ดังนั้น ทางยูเครนจึงดำเนินการตอบโต้รุกเข้าไปดินแดนของรัสซีย

ส่งผลให้เป็นเหตุปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้กองทัพยูเครน สามารถยึดครองพื้นที่ในแคว้นคุสค์ของรัสเซีย นับพันตารางกิโลเมตร ในช่วงเวลาเพียง 10 วัน ตามที่ทางการยูเครนกล่าวอ้าง

จากการที่กองทัพยูเครน ใช้อาวุธของเหล่าชาติมหาอำนาจตะวันตกที่บริจาคให้มาถล่มโจมตีถึงในดินแดนรัสเซีย ก็ถึงกับทำให้ทางการรัสเซียต้องออกมาโวยกันทีเดียว

ประชาชนชาวแคว้นคุสค์ของรัสเซีย อพยพหนีภัยการสู้รบ หลังกองทัพยูเครนข้ามพรมแดนเข้ามาโจมตี (Photo : AFP)

โดยนางมาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า กองทัพยูเครนใช้อาวุธที่ได้รับบริจาคมาจากชาติตะวันตกมาถล่มโจมตีเป้าหมายเป็นพลเรือนในดินแดนรัสเซีย

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ดังกล่าว ก็ทำให้หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่า สถานการณ์สู้รบระหว่างยูเครนกับรัสเซีย จะทวีควารุนแรงมากขึ้น ทั้งด้วยอาวุธที่จะนำมาใช้โจมตีเพื่อตอบโต้ระหว่างกันและกัน และเป้าหมายที่จะถูกโจมตี ซึ่งต้องนับว่า เพิ่มความรุนแรงและความซับซ้อนเพิ่มมาอีกระดับจนน่าเป็นกังวลต่อพลเรือนของทั้งสองฝ่ายนับจากนี้