“หอการค้าฯ” มอง “เศรษฐา” หลุดเก้าอี้นายกรัฐมนตรีกระทบเศรษฐกิจระยะสั้น แนะเร่งเบิกจ่ายงบภาครัฐขับเคลื่อน ศก.ต่อเนื่อง “ส.อ.ท.” หวังเลือกนายกฯ ใหม่ได้เร็ว ห่วงสุญญากาศการเมืองฉุด ศก.
ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้นายกฯ เศรษฐา พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งตามไปด้วยทั้งคณะนั้น
เมื่อวันที่ 15 ส.ค.67 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียง 5 ต่อ 4 ให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีว่า ในมุมมองของหอการค้าฯต่อผลการตัดสินของศาลที่ออกมาถือเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องน้อมรับ แต่ในส่วนของเศรษฐกิจต้องบอกว่ากระทบความเชื่อมั่นของประเทศระยะสั้น โดยเฉพาะโครงการ และแผนงานต่างๆที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศในขณะนี้
โดยหอการค้าฯเชื่อว่า ในช่วงที่จะต้องรอเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่พร้อม ครม. ชุดใหม่ ซึ่งมีกระบวนการไม่น้อยกว่า 1 เดือนคงจะมีการเร่งกระบวนการ เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป เชื่อว่าจะไม่กระทบประมาณการณ์เศรษฐกิจปีนี้ ซึ่งการท่องเที่ยวยังเดินหน้าต่อไปได้ และช่วงนี้อยากให้มีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ เพื่อจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ต่อเนื่อง ขณะที่สภาฯยังสามารถพิจารณางบประมาณปี 2568 ได้ต่อ
ทั้งนี้หอการค้าฯ อยากเห็นการเมืองที่กลับมาเดินหน้าอย่างมีเสถียรภาพโดยเร็วที่สุด เพราะต้องยอมรับว่าปัญหาปากท้องของประชาชนในภาวะเช่นนี้เป็นเรื่องที่ ต้องเร่งแก้ไขปัญหา หวังว่าฝ่ายการเมืองโดยระบบรัฐสภาจะได้ช่วยกันในการที่จะดำเนินตามกระบวนการของประชาธิปไตย เพื่อให้ประเทศไทยกลับมาสู่การรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการบริหารด้านประเทศ ให้เติบโตได้ตามศักยภาพต่อไป
ด้าน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวถึงผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า ภาคเอกชนอยากให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี โดยไม่ต้องการให้การเมืองเกิดภาวะสะดุด ไม่ว่าระยะสั้นหรือระยะยาวเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ คำถามที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ ใครจะมาเป็นผู้นำรัฐบาลคนต่อไป นโยบายต่างๆจะเปลี่ยน แปลงหรือไม่ ดังนั้นการลงทุนต้องเกิดการชะลอตัวเพื่อดูความชัดเจนทางการเมือง ไทยจะเสียโอกาสการแข่งขัน
โดยขณะนี้มีปัจจัยแวดล้อมภายนอกกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยอยู่แล้ว ทำให้ประชาชนขาดกำลังซื้อ มีหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูง หากต้องเริ่มต้นกันใหม่ คงต้องใช้เวลาและกว่าจะถึงเป้าหมายก็ลำบาก การเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี แม้จะไม่ใช่เป็นการนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด แต่ทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจหยุดชะงัก เหมือนขับรถไปแล้วรถเสียต้องลงมาเข็นแต่ภาคเอกชนน้อมรับผลการตัดสิน ตามมิติของศาลรัฐธรรมนูญและยังคงพยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเต็มที่และดีที่สุด
ทั้งนี้ แม้จะยังไม่มี ครม.ใหม่ แต่เงินงบประมาณที่กำลังจะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ขอให้เดินหน้าต่อ อย่าหยุด ขอให้เบิกจ่ายได้ต่อเนื่อง อย่าเกียร์ว่าง ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจไทยจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ เพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วในรัฐบาลก่อนหน้าซึ่งการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก ส่งผลสูญเสียโอกาสในทุกด้าน