ที่ จ.นครพนม บรรยากาศการประชุมสภา อบจ.นครพนม สมัยสามัญ สมัยที่ 2 ประจำปี 2567 ครั้งที่ 2/2567 ณ ห้องประชุมสภา อบจ.นครพนม มีระเบียบวาระการประชุมที่สำคัญ คือ การเสนอร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปี งบประมาณ 2568 วาระรับหลักการ หรือวาระ 1 มีประเด็นที่น่าจับตาคือ ถึงแม้จะมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการตรวจสอบปม โครงการธนาคารน้ำใต้ดิน แต่ทาง อบจ.นครพนม ยังมีการเสนอร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ในการจัดสรรงบประมาณ ปี 2568 อีกหลายโครงการ รวมเป็นงบประมาณ กว่า 40 ล้านบาท โดยข้อสรุปเห็นชอบเป็นเสียงข้างมาก พร้อมนำเข้าพิจารณาวาระสอง ตามระเบียบต่อไป
แต่มีประเด็นร้อนคือ ในวาระอื่นๆ ของการประชุมเนื่องจาก นายอภิชาต ดีบุกคำ หรือ สจ.คิงส์พนอม ส.อบจ.นครพนม เขต อ.ท่าอุเทน ในฐานะรองประธานสภา อบจ.นครพนม ถือเป็นอีกคนที่งดออกเสียง ในการรับร่างข้อบัญญัติ ได้ลุกขึ้นอภิปราย ทักท้วงไปยัง ผู้บริหาร อบจ.นครพนม รวมถึงนายก อบจ.นครพนม เกี่ยวกับโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน เชื่อว่าไม่มีความคุ้มค่า พร่ำเพรื่อ ใช้งบประมาณมากเกินไป ในช่วงการบริหารงาน 4 ปี เนื่องจากมั่นใจว่า ชาวบ้านยังต้องการดูแลช่วยเหลืออีกหลายด้านที่จำเป็นเร่งด่วน ยืนยันไม่เห็นด้วย และขอให้ ผู้บริหารทบทวน ขณะเดียวกัน ทางด้าน สภา อบจ.นครพนม ยืนยันทำตามขั้นตอน เชื่อมั่นคุ้มค่า
ก่อนนี้ เคยมีตัวแทนชาวบ้านออกมาร้องเรียนให้มีการตรวจสอบ การดำเนินโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน อบจ.นครพนม ร้องเรียน สำนักตรวจเงินแผ่นดินนครพนม พร้อม ป.ป.ช.ประจำจังหวัดนครพนม ตรวจสอบความคุ้มค่า และตรวจสอบงานใช้งบประมาณ เพื่อความโปร่งใส อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบ โดยในห้วงปี งบประมาณ 2565 - 2567 อบจ.นครพนม ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จาก กรมทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. และเป็นงบประมาณของ อบจ.นครพนม รวมกว่า 430 ล้านบาท เป็นการดำเนินการโครงการธนาคารน้ำใต้ดินมากกว่า 800 โครงการ ถือว่ามากสุดในอีสาน แต่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องความคุ้มค่าของงบประมาณ เนื่องจากเป็นโครงการที่ทำตามหลักทฤษฎี ที่ต้องใช้ตัวชี้วัดหลายด้าน
โดยประเด็นการตรวจสอบโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน เกิดขึ้นหลังจากมี นักเคลื่อนไหวทางการเมือง รวมถึง ตัวแทนชาวบ้าน มีการร้องเรียน ให้ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงการดำเนินโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน ของ อบจ.นครพนม เนื่องจากในช่วง ตั้งแต่ปี 2565 -2567 มีการจัดสรรงบประมาณ ดำเนินโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน มากกว่า 800 โครงการ เป็นวงเงินงบประมาณกว่า 430 ล้านบาท เชื่อว่า เป็นจังหวัดที่มีการดำเนินโครงการธนาคารน้ำใต้ดินมากสุดของอีสาน มีทั้งแล้วเสร็จ รวมถึงอยู่ระหว่างรอดำเนินโครงการ
ทั้งนี้หลังมีข้อร้องเรียน ทางด้านสำนักตรวจเงินแผ่นดินนครพนม ได้ส่งเรื่องไปที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ภูมิภาค ที่ 5 จ.อุบลราชธานี เนื่องจากเป็นวงเงินงบประมาณมากกว่า 3 ล้านบาท เกินอำนาจหน้าที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินระดับจังหวัด อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อร้องเรียน และตรวจสอบความคุ้มค่า เป็นหลัก นอกจากนี้ ทางด้าน ป.ป.ช.นครพนม ได้มีการรับเรื่องข้อกล่าวหา พร้อมตรวจสอบข้อกล่าวหาตามขั้นตอน มีระยะเวลา 30 วัน หากถูกต้องหลักฐานชัดเจน จะมีการสอบปมทุจริต ต่อเนื่อง
สำหรับประเด็นข้อร้องเรียนที่สำคัญ ทางตัวแทนชาวบ้าน ระบุว่า จากการตรวจสอบลงพื้นที่ พบข้อพิรุธหลายจุด และตั้งข้อสังเกต เพื่อเป็นข้อมูลให้หน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส หลังพบว่า ส่วนใหญ่มีการนำโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน ไปดำเนินการในพื้นที่ ส่วนบุคคล ที่มีการอุทิศให้ อบจ.นครพนม แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่า มีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ เนื่องจากโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน เป็นการทำตามหลักทฤษฎีเติมน้ำลงดินเป็นหลัก ต้องใช้ระยะเวลาประเมินผลจากปัจจัยหลายด้าน แต่หากดำเนินการไม่ตรงตามหลักทฤษฎี หรือไม่มีการสำรวจพื้นที่ ความเหมาะสม จะไม่เกิดความคุ้มค่าแน่นอน อีกทั้งยังมีช่องว่างเชื่อว่า เอื้อประโยชน์ต่อนายทุน ด้วยการจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ ตกลงราคา โครงการละไม่เกิน 5 แสนบาท จึงต้องการให้มีการตรวจสอบ ที่มาบริษัทผู้รับจ้าง เพราะมีข้อมูลผู้รับจ้างบางราย มีการเปิดขึ้นมาเพื่อรองรับโครงการดังกล่าวโดยเฉพาะ อีกทั้งมีบริษัทไม่กี่ราย แต่รับดำเนินการหลายโครงการ ไปจนถึงหลายจุดป้ายโครงการ ไม่ตรงกับจุดก่อสร้าง และยังไม่มีการระบุถึงปริมาณงาน แต่มีการตรวจรับเบิกจ่าย นอกจากนี้ผู้นำชุมชนหมู่บ้าน บางพื้นที่ ยังยืนยันว่า ไม่มีการลงประชามติ แต่มาทราบหลังโครงการแล้วเสร็จ
ทั้งนี้ หลังจากกรณี เคยมีข้อร้องเรียน กลายเป็นประเด็นร้อน ในการตรวจสอบการดำเนินโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน ของ อบจ.นครพนม แต่ยังไม่มีผู้บริหาร อบจ.นครพนม หรือ นายก อบจ.นครพนม ออกมาแถลงข้อเท็จจริงผ่านสื่อ หรือให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับข้อเท็จจริง พร้อมปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ มีเพียงการเคลื่อนไหวทางเพจส่วนตัวของ นายก อบจ.นครพนม ยืนยันมีความคุ้มค่า และใช้งบประมาณตามระเบียบราชการ โดยพี่น้องประชาชน จะต้องจับตามองต่อไปว่าผลการตรวจสอบ หน่วยงานเกี่ยวข้องจะเป็นอย่างไร เพื่อความโปร่งใส หากสามารถใช้งบประมาณคุ้มค่า เกิดประโยชน์ ถือเป็นเรื่องดีกับชาวนครพนม และเป็นผลงานชิ้นโบแดง อบจ.นครพนม แต่หากไม่คุ้มค่า หรือมีการทุจริต เชื่อว่า จะกระทบความเชื่อมั่นการบริหารงาน อบจ.นครพนม อย่างแน่นอน ในรอบวาระ 4 ปี