อะไรก็เกิดขึ้นได้กับรัฐบาลไทย หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย  กรณีที่ 40 สว. ยื่นผ่านประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ จากการแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยฝ่ายนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง มี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนนายกฯ มาฟังคำวินิจฉัย

โดย ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ  ตุลาการเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (5)

ดังนั้นเมื่อความเป็นนายกฯ สิ้นสุดลง รัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 167 วรรคหนึ่ง (1) โดยให้นำมาตรา 168 วรรคหนึ่ง (1) มาใช้บังคับการกับการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีที่พ้นตำแหน่งต่อไป

เสมือนฟ้าผ่ากลาง “รัฐบาลเศรษฐา” ให้ต้องกระเด็นตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีทันที!!!

และจากการพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “เศรษฐา” ครั้งนี้ยังส่งผลต่อคณะรัฐมนตรีทั้งคณะด้วยเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนั้นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลเศรษฐา โดยเฉพาะ “โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต” ที่คาดว่าจะเริ่มในช่วงไตรมาส 4 ปี 67 จะทันหรือไม่!?!

เรื่องนี้ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โครงการนี้ก็คงต้องสะดุดแน่ๆ และตนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่รู้จะได้กลับมาทำงานนี้ต่อหรือไม่ ส่วนพรรคเพื่อไทยจะสานต่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หรือไม่นั้น ต้องรอมติของทางพรรคเพื่อไทยก่อน เพราะว่ายังไม่ทราบว่าหลังจากนี้รูปแบบของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะเป็นอย่างไร พรรคใดจะเข้าร่วมรัฐบาลบ้าง ยังไม่สมารถตอบได้ และยังต้องมีการหารือภายในพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะทำนโยบายใดบ้าง ซึ่งในการตั้งรัฐบาลนี้ก็ต้องมีพรรคเพื่อไทยอยู่ในพรรคร่วมด้วย

ขณะที่ภาคเอกชน “นายเกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญลงมติ 5 ต่อ 4 ให้ นายเศรษฐา ทวีสิน ขาดคุณสมบัติ เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า ยอมรับว่าช็อก! แล้วชะงัก เนื่องจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศต้องกลับไปทบทวน ว่าการลงทุนจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศฝั่งอเมริกา ยุโรป อาจให้น้ำหนักในเรื่องการเมืองมาก เรียกว่าซีเรียสเลยก็ว่าได้ ทำให้มีนักธุรกิจหลายรายต้องการความชัดเจน และมีการสอบถามพูดคุยกับทาง ส.อ.ท. อยู่ตลอดเวลา

“ผมคิดว่าช่วงนี้เป็นจังหวะสำคัญ และปัจจัยที่เป็นตัวที่พิจารณาสำหรับนักลงทุน คือ เรื่องการเมืองที่ไทยต้องมีการเมืองที่มีเสถียรภาพ หรือว่ามีความนิ่งและต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมาไม่มีความต่อเนื่องมานาน การเปลี่ยนขั้วพรรคการเมืองตลอดเวลา ทำให้นโยบายที่รัฐบาลเคยขับเคลื่อนนั้นหยุดชะงักไป ขาดความต่อเนื่อง ซึ่งตั้งแต่มีคดีตลอดระยะเวลากว่า 80 วัน ทุกคนก็ชะลออยู่แล้ว และรอดูกันอยู่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง ทุกฝ่ายมีการมอนิเตอร์ ติดตามผล เมื่อผลการตัดสินออกมาก็ถือว่าช็อก ทำให้การตัดสินใจลงทุนชะงัก”

อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลาในช่วงปี 1 ที่ผ่านมา ส่วนตัวคิดว่าเราต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลในชุดของนายเศรษฐา เพราะขึ้นมาเป็นรัฐบาลในช่วงที่เกิดความท้าทายของโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้า เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ การที่ต้องเลือกข้าง การย้ายฐานการผลิตจำนวนมากที่ไม่เคยรุนแรงและเข้มข้นขนาดนี้มาก่อน รวมถึงปัญหาสะสมของประเทศไทย ที่ลึกไปเชิงโครงสร้างมาตั้งนาน แต่ว่าท่านนายกฯ ก็สามารถเข้ามาทำงาน ปรับตัวและใช้เวลาไม่มาก 3-4 เดือน ก็เริ่มพอเข้าใจในหน้าที่และมีแนวทางแก้ปัญหาเรื่องต่างๆ ได้

นอกจากนี้ ภาคเอกชนได้สะท้อนให้เห็นภาพแล้วว่าวันนี้ประเทศไทยมีปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุมเร้า รวมถึงมีความท้าทายมากมายที่เกิดขึ้นในโลก และประเทศไทยก็ยังอยู่ในช่วงที่จะต้องรีบเร่งสร้างความเชื่อมั่น สร้างการลงทุนใหม่ๆ เชิญชวนนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ

“ไม่ได้หมายความว่าทุกอุตสาหกรรมจะหยุดหมด เพราะก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของอุตสาหกรรมนั้นๆ ด้วย เพราะนักลงทุนทั้งโซนเอเชีย อย่างนักลงทุนจากญี่ปุ่น ที่ถือว่าเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของไทย และอยู่ในประเทศมา 40 – 50 ปี ก็อาจจะเริ่มเรียนรู้ และสามารถปรับตัวได้”

หลังจากนี้ต้องรอลุ้นกันต่อไปว่า “นายกรัฐมนตรี” คนใหม่ จะเป็นใคร!?!

คณะรัฐมนตรีจะเป็นหน้าเก่า หรือ หน้าใหม่???

เร็ว ๆ นี้จะได้เห็นหน้าตากับแบบเต็ม ๆ