วันที่ 14 ส.ค.67 ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายภูมิ อายุ 53 ปี อาชีพ รปภ.พาน้องเจ (นามสมมุติ) อายุ 19 ปี บุตรสาว เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิ , ว่าที่ร้อยตรีรภัสสิทธิ์  ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิ , นายชาญชัย ฉายบุ ที่ปรึกษามูลนิธิ เพื่อให้ช่วยเหลือหลังลูกสาวตกเป็นผู้ต้องหาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายโรงพัก แจ้งความข้อหาร่วมกันฉ้อโกง เพราะไปเปิดบัญชีม้าให้กับแก๊งมิจฉาชีพ ขณะลูกสาว อายุ 17 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยลูกสาวตนเอง เป็นเด็กสมาธิสั้นรู้เท่าไม่ถึงการณ์อยากได้เงินมาใช้จ่ายแบ่งเบาภาระให้กับครอบครัว

นายภูมิ กล่าวด้วยเสียงเศร้าว่า ตนมีลูก 3 คนๆโตเป็นหญิง คนรองคือน้องเจ คนเล็กเป็นชายก็เป็นเด็กสมาธิสั้นเหมือนพี่สาว เมื่อปี 65 ขณะน้องเจอายุ 17 ปี ยังเรียนอยู่ชั้น ม.6 โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านบางบัวทอง ได้ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงให้เปิดบัญชีม้า จนกระทั่งมีหมายเรียก จากเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.บางเขน ให้มาเคลียร์กับผู้เสียหายที่โอนเงินเข้าบัญชีลูกสาว 40,000 บาท โดยทางตำรวจและผู้เสียหายได้ทำบันทึกข้อตกลงให้ตนผ่อนเดือนละ 5,000 บาทเป็นเวลา 8 เดือน และมีการชดใช้ไปให้แล้ว 1 เดือน แล้ว

ต่อมาตนยังได้รับหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายโรงพัก เพื่อให้ลูกสาว ไปรับผิดชอบเคลียร์ค่าเสียหายให้กับเจ้าทุกข์ที่โอนเงินเข้ามาในบัญชีลูกสาว ทำให้ตนเองเครียดมากไม่รู้ว่าจะหาเงินที่ไหนไปให้เจ้าทุกข์ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่สิบรายกี่โรงพัก ตนเองเป็นแค่ รปภ. คงไม่มีปัญญาไปชดใช้ แค่ลำพังต้อง พาลูกสาวเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา ในแต่ละโรงพักแต่ละจังหวัด ก็ไม่รู้จะหาเงินที่ไหนเป็นค่าพาหนะในการเดินทางตนเองจึงอยากให้ทางมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคมเข้ามาช่วยเหลือ เพราะไม่รู้ชีวิตจากนี้ไปตนและครอบครัวจะทำอย่างไรต่อไปได้

น้องเจ เล่าวว่า ในปี 65 ตอนนั้นตนเองอายุ 17 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.6 มีหญิงสาวคนหนึ่งทักเฟสเข้ามาที่เฟซตนเองพร้อมทั้งบอกว่า "อยากได้เงินใหม" จากนั้นชักชวนให้ตนเอง ส่งบัตรประชาชนให้ทางเฟซก่อนจะนำบัตรประชาชนตนไปเปิดบัญชีทางออนไลน์ และให้ผลตอบแทนตนมา 300 บาท ซึ่งตอนนั้นตนเองอยากแบ่งเบาภาระพ่อแม่และนำเงินที่ได้ไปซื้ออุปกรณ์การเรียน จึงได้หลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อ ไม่คิดว่าจะทำให้ครอบครัวเดือดร้อนตนเองรู้สึกเสียใจมาก และอยากบอกพวกแก๊งมิจฉาชีพว่าอย่าได้ทำแบบนี้อีกเลยมันทำให้ครอบครัวผู้ที่ตกเป็นเหยื่อต้องได้รับความเดือดร้อน 

ด้านนายรณณรงค์ ประธานมูลนิธิ เผยว่า ขั้นตอนต่อไปตนจะนำผู้เสียหายเดินทางไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมที่สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ์และช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน เนื่องจากน้องเขาเป็นเด็กสมาธิสั้นช่วงระหว่างถูกก่อเหตุก็เป็นเยาวชนอายุแค่ 17 ปี ตนจะทำเรื่องขอความเห็นใจจากที่ต้องขึ้นศาลอาญามาเป็นศาลเยาวชน คิดว่าคงได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ มิจฉาชีพใช้อุบายแยบยลมาก วันเดียวมีเงินโอนเข้าบัญชีน้องเขาถึง 230,000 กว่า จากนั้นเงินก็ไหลออกไปกลายเป็น 0 มิจฉาชีพรู้ขนาดว่าหลบหลีกการสแกนใบหน้าครั้งละ 50,000 บาท โดยการยักย้ายถ่ายเงินจากในบัญชีสูงสุดแค่ครั้งละ 49,000 บาท เพื่อไม่ต้องสแกนใบหน้า ถือว่ามิจฉาชีพฉลาดมาก คุณพ่อน้องเขามีอาชีพแค่ รปภ.จะเอากำลังที่ไหนมาชดใช้เงินจำนวนมากขนาดนี้ และยังไม่รู้เลยว่าต้องเดินทางไปโรงพักไหนสน.ไหน ของประเทศไทย เพราะเชื่อว่าจะต้องมีผู้เสียหายที่โอนเงินผ่านบัญชีน้องแจ้งความดำเนินคดีเข้ามาอีก มากมายอย่างแน่นอน