เปิดเผยประกาศตัวไปเป็นที่เรียบร้อยของทั้งสองพรรค สำหรับ ผู้ที่จะมาชิงชัยในตำแหน่ง “รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2024 (พ.ศ. 2567)” หรือที่หลายคนเรียกว่า เป็นบัดดี คู่หู ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

โดยทาง “พรรครีพับลิกัน” ซึ่งมีนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทางพรรคฯ ได้ประกาศเปิดตัวผู้ที่จะมาเป็นคู่หูของนายทรัมป์กันไปก่อนหน้า ในการประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกัน หรือที่เรียกว่า “การประชุมแห่งชาติของพรรครีพับลิกัน 2024” ที่นครมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน ในระหว่างวันที่ 15 – 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ได้เลือก “นายเจ. ดี. แวนซ์” สมาชิกวุฒิสมาชิก หรือสว. รัฐโอไฮโอ ให้มาเป็นคู่หู คือ เป็นรองประธานาธิบดีของเขา

ขณะที่ ทาง “พรรคเดโมแครต” ซึ่งเกิดสถานการณ์ “เปลี่ยนม้ากลางศึก” กันก่อนหน้า จากการที่เปลี่ยนตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 จาก “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ที่คะแนนนิยมทรุดต่ำลงมาเป็นลำดับอันเนื่องจากความชราภาพของเขา มาเป็น “นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี” ปรากฏว่า นางแฮร์ริสแฮร์ริส ได้เสนอชื่อ “นายทิม วอลซ์” ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา ให้มาชิงชัยในฐานะรองประธานาธิบดี หรือบัดดี คู่หู ของเธอ ซึ่งการเปิดตัวข้างต้นมีขึ้นเมื่อช่วงสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านพ้นมานี้เอง

นายทิม วอลซ์ (Photo : AFP)

ทั้งนี้ ทางพรรคเดโมแครต จะรับรองอย่างเป็นทางการ ในการประชุมใหญ่ของพรรคฯ หรือที่เรียกว่า “การประชุมแห่งชาติพรรคเดโมแครต 2024” ที่นครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ในระหว่างวันที่ 19 – 22 สิงหาคมที่จะถึงนี้ต่อไป

กล่าวถึงผู้ที่มาชิงชัยในตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทางพรรครีพับลิกันก่อน คือ นายเจ. ดี. แวนซ์ มีชื่อเต็มว่า “เจมส์ เดวิด แวนซ์” ถือเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่อายุอานามเพียง 39 ปีเท่านั้น ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาซีเนต หรือวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ของรัฐโอไฮโอ

ในส่วนด้านการศึกษานั้น จบนิติศาสตร์ หรือด้านกฎหมาย ทั้งจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ และที่มหาวิทยาลัยเยล โดยก่อนหน้านั้นเขาเคยเป็นรั้วของชาติ ในฐานะทหารหน่วยนาวิกโยธินของสหรัฐฯ มาแล้ว

เมื่อเรียนจบเป็นมหาบัณฑิตนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเยล เขาได้ไปทำงานในบริษัทร่วมลงทุนในซิลิคอนวัลเลย์กันอยู่พักหนึ่ง ก่อนพลิกผันตัวมาสู่ถนนการเมืองในฐานะสมาชิกพรรครีพับลิกัน จนได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกวุฒิสภารัฐโอไฮโอ เมื่อปี 2022 (พ.ศ. 2565) โดยมีอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ให้การสนับสนุน และด้วยเหตุปัจจัยนี้เอง ก็ทำให้นายแวนซ์ พลิกกลับแนวคิดแบบ 360 องศา จากเดิมที่เคย “เกลียดทรัมป์” มาเป็น “โปรทรัมป์” คือ “สนับสนุนทรัมป์” และได้มาเป็นผู้ชิงชัยในฐานะรองประธานา ธิบดีของนายทรัมป์อย่างที่เห็น

ขณะที่ ทางฟากฝั่งคู่ประชันขันแข่งของนายแวนซ์ คือ “นายทิม วอลซ์ วัย 60” ปี จากทางพรรคเดโมแครตนั้น ก็ต้องถือว่า ไม่ธรรมดาเหมือนกันหากเปรียบเทียบกับนายแวนซ์

ไม่ว่าจะเป็นในด้านทางการทหาร ที่นายวอลซ์ ก็มีประวัติว่า เคยเป็นรั้งของชาติ ในฐานะเจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิสหรัฐฯ มาก่อน และนายวอลซ์ ก็มิใช่แต่จะสวมเครื่องแบบยูนิฟอร์มกองกำลังข้างต้นอย่างธรรมดาๆ แต่ทว่า เขายังผ่านการฝึกทั้งหลักสูตรทหารบก ทหารปืนใหญ่ มาแล้ว มิหนำซ้ำในระหว่างเป็นเจ้าหน้าที่กองกำลังฯ ก็ยังผลงานเข้าร่วมปฏิบัติช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆ อีกเป็นอันมาก ตลอดการรับใช้ชาติในฐานะกองกำลังดังกล่าวถึง 20 ปีเต็ม

นอกจากการเป็นทหารรั้วของชาติแล้ว นายวอลซ์ ก็ยังเคยเป็น “พ่อพิมพ์ของชาติ” นั่นคือ เป็น “ครูสอนหนังสือ” ของโรงเรียนรัฐ ตลอดจนเคยเป็นโค้ชฟุตบอลอีกต่างหาก

เรียกได้ว่า แทบจะครบเครื่องกันเลยทีเดียว

ก่อนพลิกผันตัวเองเข้าสู่ถนนสายการเมือง จนมาดำรงตำแหน่งเป็น “พ่อเมือง” คือ “ผู้ว่าการรัฐ” ของรัฐมินนิโซตา

ทั้งนี้ หากจะกล่าวถึงด้านการ “บริหารและนิติบัญญัติ” แล้ว นายวอลซ์ดูจะมีภาษีดีกว่านายแวนซ์ด้วยซ้ำ เพราะเป็น “ผู้ว่าการรัฐ” ที่เป็น “ผู้นำฝ่ายบริหารของรัฐ” หรือ “รัฐบาลท้องถิ่น” และก่อนหน้านั้น เขาก็เคยได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” หรือ “ส.ส.” ของรัฐมินนิโซตา ซึ่งเท่ากับว่า เขาเคยทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติด้วยเหมือนกัน ขณะที่ นายแวนซ์ เพิ่งมาเป็น สว. ทำหน้าที่ด้าน “นิติบัญญัติ” เท่านั้น

นอกจากนี้ ตามประวัตินายวอลซ์ ก็เคยมีประสบการณ์ผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายสารพัด แม้กระทั่งการได้เห็นเหตุการณ์สังหารหมู่ผู้ประท้วงที่จตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เมื่อปี 1989 (พ.ศ. 2532) อันสะเทือนขวัญโลกมาแล้วด้วย ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว เขาอยู่ประเทศจีน ในฐานะครูสอนหนังสือ

จนกล่าวได้ว่า ชายผู้ที่นางกมลา แฮร์ริส เลือกมาเป็นคู่หูชิงรองประธานาธิบดีของเธอนั้น ผ่านโลก ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามาก

ใช่แต่เท่านั้น นายวอลซ์ผู้นี้ ก็ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นคนพูดจาฉะฉาน มีฝีปากกล้า ที่พร้อมจะใช้วาจาเชือดเฉือนฝ่ายตรงข้ามให้พ่ายแพ้ไปได้อีกต่างหาก ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของคนที่จะเข้าสู่แวดวงการเมือง หากเกิดการปะทะฝีปาก อภิปรายโต้วาทีเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ระหว่างกัน

อย่างไรก็ดี ในหะแรกเริ่มของการเปิดตัวเสนอชื่อนายวอลซ์ มาชิงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยนางกมลา แฮร์ริส นั้น ก็มีเสียงวิจารณ์ว่า ชื่อนายวอลซ์ ไม่เป็นที่รู้จักกันสักเท่าไหร่ ก็ส่งผลให้วันสองวันแรกหลังจากเปิดตัวมา นั้น คะแนนนิยมของนายวอลซ์ ก็เลยตามหลังนายแวนซ์ ไปโดยปริยาย

ทว่า หลังจากที่เริ่มรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งกันไปตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า คะแนนนิยมก็เริ่มตีกลับอย่างมีนัยยะ โดยนายวอลซ์ มีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นมาถึง 11 จุด ส่วนทางกับนายแวนซ์ ที่กลับลดลงถึง 9 จุด ซึ่งคะแนนนิยมที่พลิกกลับมาในลักษณะนี้ ก็ส่งผลให้ดีต่อนางกมลา แฮร์ริส ไม่น้อยเลยทีเดียว