ชาวนาในเขต อ.พลับพลาชัย จ.บุรีรัมย์ ที่มีนาอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ต่างเร่งติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ระดมสูบน้ำเข้านาข้าวของตนเอง เพื่อหล่อเลี้ยงต้นข้าวที่กำลังเหี่ยวเฉา และเริ่มยืนต้นตายเป็นหย่อมๆ เพราะประสบปัญหาภัยแล้ง ไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงนาข้าว อีกทั้งข้าวยังเป็นโรคไหม้ พร้อมเรียกร้องให้เร่งทำฝนเทียม และแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง เพราะต้องเสียเงินซื้อน้ำมันมาเติมรถไถสูบน้ำ เฉลี่ยไม่ต่ำกว่าวันละ 500 บาท
เมื่อวันที่ 12 ส.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมอุตุนิยมวิทยา ได้พยากรณ์อากาศในช่วงหยุดยาววันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 10-12 ส.ค.นี้ ที่จะทำให้ในหลายภาคของประเทศไทย จะมีฝนตกหนักบางแห่ง ซึ่งทำให้ในพื้นที่บางแห่งที่มีฝนตกหนัก และน้ำป่าไหลหลาก เสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลันนั้น
ในขณะที่ หลายพื้นที่ทั้ง 23 อำเภอของจังหวัดบุรีรัมย์ ถึงแม้จะยังพอมีฝนตกลงมาบ้าง แต่ก็เป็นเพียงฝนที่ตกลงประปราย ยังไม่พอที่จะมีน้ำขัง ได้ส่งผลกระทบกับชาวนา เพราะไม่มีน้ำมาหล่อเลี้ยงให้ต้นข้าว ได้มีการเจริญเติบโตได้ ทั้งกลับต้องมาเหี่ยวเฉา และเริ่มยืนต้นตายไปบ้างบางส่วนแล้ว รวมถึงยังเป็นโรคใบข้าวไหม้อีกด้วย
โดยชาวนาหลายราย ที่มีที่นาอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ทั้งลำห้วย หนอง คลอง บึงต่างๆ ต่างนำรถไถนาเดินตาม มาติดตั้งดัดแปลง เป็นเครื่องสูบน้ำ เพื่อเร่งสูบน้ำใส่นาข้าวของตนเอง เพื่อบำรุงไม่ให้ต้นข้าวของตนเองเหี่ยวเฉา เพื่อที่ต้นข้าวสามารถยืนต้นเจริญเติบโตต่อไปได้ จนกว่าจะมีน้ำฝน หรือพายุฝนเข้ามา และในขณะเดียวกัน ยังพบว่าแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ที่ชาวนาได้สูบน้ำใส่นากันนั้น ก็ได้เริ่มแห้งขอดลงอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งนอกจากชาวนา ต้องประสบกับปัญหาภัยแล้งแล้ว ยังต้องแบกรับภาระ ค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ของเครื่องสูบน้ำ ที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เฉลี่ยค่าน้ำมันวันละประมาณ 500 บาทต่อวัน และทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการทำนำเพิ่มด้วย จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไข ปัญหา เรื่องราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีราคาแพง และเร่งทำฝนเทียมให้ตกลงมาในพื้นที่
นายนุช ชูโพธิ์ อายุ 54 ปี ชาวนาบ้านสะเดา หมู่ที่ 12 ต.สะเดา อ.พลับพลาชัย จ.บุรีรัมย์ บอกว่า ทำนาจำนวน 5 ไร่ เป็นข้าวหอมมะลิ กข 105 แต่ปีนี้พอข้าวเริ่มเจริญเติบโต ที่พอจะต้องมีน้ำหล่อเลี้ยง กลับไม่มีน้ำ เนื่องจากฝนที่ตกลงมาก็ตกแค่ปรอยๆ ไม่พอที่จะมีน้ำให้หล่อเลี้ยงต้นข้าว ทำให้ต้นข้าวเริ่มเหี่ยวเฉา และทยอยยืนต้นตายไปบางส่วน เพื่อแก้ปัญหาเบื้องต้น จึงได้นำรถไถนาเดินตามมาดัดแปลงใส่ท่อสูบน้ำจากห้วยพลับพลา เพื่อสูบน้ำใส่นาข้าว เพื่อให้ได้มีน้ำหล่อเลี้ยงต้นข้าวเจริญเติบโตต่อไป ซึ่งได้สูบน้ำใส่นามาแล้ว 2 วัน ต้องเสียค่าน้ำมันประมาณวันละ 500 บาท และหากจะต้องสูบน้ำใส่นา จนกว่าจะเพียงพอต้องใช้เวลาประมาณ 5 วัน ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มไม่ต่ำกว่า 2-3 พันบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนในการทำนา จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง ที่เป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิต และเร่งทำฝนเทียม เพื่อให้ฝนตกลงมาในพื้นที่ด้วย
ด้าน นายสมพร ผะงาตุนัด อายุ 32 ปี ชาวนาบ้านโคกตะเคียน หมู่ที่ 97 ม.7 ต.สะเดา อ.พลับพลาชัย จ.บุรีรัมย์ บอกว่า วันนี้เป็นวันแรกที่ตนได้นำรถไถและท่อสูบน้ำมาสูบน้ำจากลำห้วย ผันเข้านาข้าวจำนวน 9 ไร่ เพื่อให้ต้นข้าวสามารถยืนต้นเจริญเติบโตต่อไปได้ เพราะในพื้นที่ฝนก็ไม่ค่อยตก ถึงจะตกลงมาก็ตกเพียงนิดหน่อย ไม่พอที่จะทำให้มีน้ำขังในนา เพื่อที่จะหล่อเลี้ยงต้นข้าวได้ จึงทำให้ต้นข้าวขาดน้ำและเริ่มยืนต้นตาย รวมทั้งเกิดโรคใบข้าวไหม้ด้วย จึงได้นำรถไถนามาติดตั้งใส่เครื่องสูบน้ำ จากห้วยพลับพลาสูบน้ำจากลำห้วยใส่นาข้าว เพื่อยืดอายุของต้นข้าว ซึ่งยังทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ต้องใส่รถไถนาสูบน้ำ เฉลี่ยประมาณ 500 บาทต่อวัน ซึ่งทำให้ชาวนาต้องแบกภาระต้นการทำนาเพิ่มขึ้น จึงอยากให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหาราคาน้ำมัน ที่มีราคาแพงให้ถูกลงกว่านี้ และให้ฝนเทียมด้วย