กรมโรงงานอุตสาหกรรมจับมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกกฎเหล็กควบคุมไซยาไนด์! หลังพบใช้ผิดวัตถุประสงค์นอกเหนือกิจการอุตสาหกรรม
จากกรณีการเสียชีวิตอย่างปริศนาของนางสาวชลดา หรือ น้องตอง เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมามีการสอบสวนถึงสาเหตุการเสียชีวิตว่า เกิดจากสารไซยาไนต์ที่ผู้ต้องหาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเป็นคนสั่งซื้อออนไลน์มาใช้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับผู้ต้องหาที่ก่อคดีสะเทือนขวัญเมื่อไม่นานมานี้
ก่อนหน้านี้ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กำชับกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เข้มงวดกับสถานที่เก็บรักษาโพแทสเซียมไซยาไนด์ ซึ่งต้องได้รับการตรวจสอบทุกครั้งประกอบการพิจารณาขออนุญาต เพื่อให้เกิดความปลอดภัย เหมาะสม เป็นไปตามกฎหมายและหลักวิชาการ และพนักงานเจ้าหน้าที่ยังมีการตรวจติดตามสถานที่เก็บรักษาวัตถุอันตรายเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อบุคคล ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม และกำหนดให้ผู้ที่มีโพแทสเซียมไซยาไนด์ในครอบครองตั้งแต่ 100 กิโลกรัมขึ้นไปในรอบ 6 เดือน มีหน้าที่ต้องรายงานข้อเท็จจริงของการนำไปใช้ ปริมาณคงเหลือ การจำหน่าย เพื่อให้สามารถติดตามตรวจสอบไปจนถึงผู้ใช้ได้
วันที่ 12 ส.ค.67 กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ชี้แจงถึงการควบคุมสารโพแทสเซียมไซยาไนด์(potassium cyanide) โดยระบุว่า สารดังกล่าวมีลักษณะเป็นของแข็ง ก้อนผลึก หรือผงสีขาว เมื่อเป็นของเหลวจะใสไม่มีสี กลิ่นคล้ายแอลมอนต์ เมื่อเจอกับความร้อนจะทำให้เกิดก๊าซพิษ หากได้รับเข้าสู่ร่างกายจะรบกวนการทำงานของอวัยวะภายใน จนเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยมีการนำไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมชุบโลหะ และในห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ เช่น การนำไปทดสอบหาค่าความกระด้างของน้ำ เป็นต้น ทั้งนี้ โพแทสเซียมไซยาไนด์ไม่มีการผลิตในประเทศไทย โพแทสเซียมไซยาไนด์มีการควบคุมโดยหน่วยงานภาครัฐ 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) โดย อย. กำหนดการควบคุมผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในบ้านเรือน หรือทางสาธารณสุขที่มีเกลือของไซยาไนด์ที่ละลายน้ำได้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้ามาในประเทศ ส่วน กรอ. ควบคุมสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ที่ความเข้มข้นมากกว่าร้อยละ 1 โดยน้ำหนัก เป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 3 ภายใต้พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ซึ่ง กรอ. มีการกำกับดูแลกรณีมีการนำเข้า และการครอบครองสารดังกล่าว ดังนี้
1.ผู้ประกอบการต้องขอขึ้นทะเบียนพร้อมระบุวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ และขออนุญาตก่อนนำเข้า โดยการพิจารณาอนุญาตเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่กำหนด และการนำไปใช้ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ปรากฏในใบสำคัญการขึ้นทะเบียน 2. เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ในการนำเข้าต้องแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเข้า ก่อนนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ ออกจากด่านศุลกากร เช่น ปริมาณการนำเข้า ลักษณะภาชนะบรรจุ สถานที่เก็บรักษา และกำหนดวันที่พาหนะ จะมาถึงด่านศุลกากร เป็นต้น ตามแบบ วอ./อก.6 โดยปัจจุบันกำหนดให้แจ้งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ 3. กรณีมีโพแทสเซียมไซยาไนด์ในความครอบครอง ตั้งแต่ 100 กิโลกรัมขึ้นไป ในรอบ 6 เดือน ต้องแจ้งข้อเท็จจริง เช่น ปริมาณการใช้ การจำหน่าย ปริมาณคงเหลือ และข้อมูลผู้ซื้อ เป็นต้น ตามแบบ วอ./อก.7 ซึ่งการประกอบการในระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน ต้องแจ้งภายในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น และการประกอบการ ในระหว่างเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม ต้องแจ้งภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป โดยสามารถแจ้งที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม แจ้งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือแจ้งผ่านไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ 4. กรณีครอบครองโพแทสเซียมไซยาไนด์เพื่อการใช้สอยส่วนบุคคล หรือใช้เพื่อการอุตสาหกรรม และกรณีครอบครองโพแทสเซียมไซยาไนด์เพื่อการค้าปลีก ที่เก็บโพแทสเซียมไซยาไนด์และวัตถุอันตรายทุกชนิดตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตรายรวมกันไม่เกิน 1,000 กิโลกรัม ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตครอบครอง
จากเหตุกาณ์ที่มีการนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ก่อให้เกิดผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งพบการจำหน่ายอย่างแพร่หลายในแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสารดังกล่าวได้โดยง่าย เพื่อนำไปใช้ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรอ. ได้มีดำเนินการ ดังนี้1.กำหนดกำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อควบคุมมิให้มีการนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยกำหนดให้ใบอนุญาตที่ออกใหม่มีอายุไม่เกิน 1 ปี และกำหนดให้เพิ่มเงื่อนไขในใบอนุญาตนำเข้าสารโพแทสเซียมไซยาไนด์(ทั้งกรณีใบอนุญาตฉบับเดิมที่ยังมีอายุอยู่และใบอนุญาตที่ออกใหม่)
สำหรับกลุ่มผู้ได้รับใบอนุญาตนำเข้า สารโพแทสเซียมไซยาไนด์ที่แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามความเข้มข้นและวัตถุประสงค์การนำไปใช้ ได้แก่ กลุ่มผู้นำเข้าสำหรับกิจการโรงงาน กลุ่มผู้นำเข้าสำหรับห้องปฏิบัติการ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และกลุ่มผู้นำเข้าสำหรับกิจการชุบล้างโลหะขนาดเล็ก รายละเอียดังตารางสรุปมาตรการเพื่อควบคุมมิให้มีการนำโพแทสเซียมไซยาไนด์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ 2. จัดทำระบบรายงานข้อมูลสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ เพื่อรองรับรายงานการเปลี่ยนแปลงปริมาณการครอบครองวัตถุอันตรายทันที และรายงานการเปลี่ยนแปลงปริมาณการครอบครองทุกปริมาณ ทุก 3 เดือน 3. จัดทำหนังสือขอความร่วมมือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กำหนดมิให้มีการโฆษณาและจำหน่ายสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ และสารโซเดียมไซยาไนด์ ในแพลตฟอร์มออนไลด์ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายสินค้าจำนวนมากด้วย 4.จัดทำร่างประกาศกรมโรงานอุตสาหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการโฆษณาวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเห็นชอบ พ.ศ. .... โดยกำหนดห้ามมิให้ทำการโฆษณาวัตถุอันตราย โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์สื่อสังคมออนไลน์ หรือสื่อโฆษณาอื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 5. ส่งเจ้าหน้าที่ไปร้องทุกข์ เพื่อให้ดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ตามข้อมูลการรายงานการสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 ซึ่งจากรายงานดังกล่าว พบว่ามีผู้กระทำความผิดตามมาตรา 45 (4) อันมีโทษตามมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 31 ราย โดยมีผู้ร่วมกระทำความผิดประกอบด้วย ผู้จำหน่าย จำนวน 6 ราย และผู้นำเข้า จำนวน 1 ราย และเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 กรอ.ได้มีหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสอบถามความคืบหน้าในการร้องทุกข์กล่าวโทษ เพื่อดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535
ทั้งนี้ ภายหลังดำเนินการดังกล่าวข้างต้น ยังปรากฏข้อมูลการโฆษณาจำหน่ายสารประกอบไซยาไนด์ เช่นโกลด์โพแทสเซียมไซยาไนด์ ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายภายใต้กฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ สื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งวัตถุอันตรายจำพวกสารประกอบไซยาไนด์ทุกชนิดเป็นสารพิษที่มีความรุนแรงสูง ออกฤทธิ์ได้เร็วโดยหากได้รับในขนาดที่เพียงพอจะทำให้เสียชีวิตเฉียบพลัน ในลักษณะเดียวกับโพแทสเซียมไซยาไนด์ และโซเดียมไซยาไนด์ ดังนั้น เพื่อคุ้มครองความปลอดภัย ป้องกันประชาชนทั่วไปเข้าถึงวัตถุอันตรายดังกล่าว และมีการนำไปใช้ ผิดวัตถุประสงค์ กรอ. จึงได้มีการดำเนินการเพื่อควบคุมวัตถุอันตรายจำพวกสารประกอบไซยาไนด์ ดังนี้ 1.จัดทำหนังสือถึงผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตนำเข้าวัตถุอันตรายจำพวกสารประกอบไซยาไนด์ และมีการนำเข้าสารดังกล่าวในปี พ.ศ. 2565 – 2566 จำนวน 37 ราย เพื่อควบคุมการจำหน่ายและการใช้สารประกอบไซยาไนด์ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งหรือระบุในใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย 2.จัดทำหนังสือขอความร่วมมือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กำหนดมิให้มีการโฆษณาและจำหน่ายวัตถุอันตรายจำพวกสารประกอบไซยาไนด์เพิ่มเติม จำนวน 13 รายการ เช่น โกลด์ โพแทสเซียมไซยาไนด์ ในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ
3.จัดทำร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงการจัดชนิดวัตถุอันตรายในกลุ่มสารประกอบไซยาไนด์ จำนวน 6 รายการ จากเดิมที่มีการควบคุมเป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 1 ให้ยกระดับเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องดำเนินการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายและขออนุญาต ตามมาตรา 36 และมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2551 ตามลำดับ รวมทั้งผู้นำเข้าหรือส่งออกต้องแจ้งข้อเท็จจริงก่อนนำหรือส่งวัตถุอันตรายออกจากด่านศุลกากร และผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองที่มีหรือเคยมีวัตถุอันตรายตามรายชื่อที่กำหนด ต้องแจ้งข้อเท็จจริงปีละ 2 ครั้ง ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยเรื่องการให้แจ้งข้อเท็จจริงของผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือผู้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม
#ข่าววันนี้ #ไซยาไนด์ #ซื้อออนไลน์ #สารพิษ #น้องตอง #วัตถุอันตราย