วันที่ 9 ส.ค.67 พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร นำคณะผู้บังคับบัญชาของกองทัพบก ลงพื้นที่ จ.สงขลา เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลของหน่วยเฉพาะกิจสงขลา ที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใน 4 อำเภอ ของ จ.สงขลา ได้แก่ อ.สะบ้าย้อย, อ.เทพา, อ.จะนะ และ อ.นาทวี โดยมี พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ให้การต้อนรับ และด้วยความห่วงใยกำลังพลผู้ป่วยเจ็บจากเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้บัญชาการทหารบกพร้อมคณะ ได้เดินทางไปเยี่ยมกำลังพลที่พักรักษาตัวอยู่ ณ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยได้เข้าพูดคุย สอบถามอาการจากทีมแพทย์ และมอบกระเช้าเยี่ยมผู้ป่วยให้กับกำลังพลและญาติ พร้อมเน้นย้ำให้หน่วยต้นสังกัดดูแลสิทธิและสวัสดิการ ตลอดจนอำนวยความสะดวกญาติและครอบครัวในการเดินทางมาเฝ้าไข้และติดตามอาการของกำลังพลอย่างเต็มที่และดีที่สุด 

จากนั้นผู้บัญชาการทหารบกและคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ จ.สงขลา ณ กองบังคับการหน่วยเฉพาะกิจสงขลา อ.เทพา จ.สงขลา ซึ่งมีกำลังพลจากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 5 ร่วมกับตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 ปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันการกระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบตลอดพื้นที่ชั้นใน และแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยผู้บัญชาการทหารบกได้รับฟังบรรยายสรุปของหน่วย อาทิ การบังคับใช้กฎหมายควบคุมพื้นที่, การสกัดกั้นและจับกุมยาเสพติด โดยตั้งแต่ ต.ค.66 สามารถยึดยาบ้าได้ 1,804,781 ม็ด และไอซ์ 770 กิโลกรัม, การจับกุมผู้กระทำผิดบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ โดยตรวจพบพื้นที่ป่าเสียหายรวม 118 ไร่ 2 งาน 30 ตารางวา รวมทั้งการขับเคลื่อนการบำบัดผู้ป่วยยาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งนอกจากตามแนวทางการรักษาของกระทรวงสาธารณสุขแล้ว กองทัพภาคที่ 4 ได้ใช้มาตรการทางสังคมในการป้องกันและบำบัดรักษาภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชน (CBTx) โดยมอบหมายให้หน่วยทหารในแต่ละพื้นที่ร่วมกับภาคประชาชน สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับทั้งผู้เสพและครอบครัว เพื่อสร้างความพร้อมและให้โอกาสซึ่งกันและกัน สามารถบำบัดรักษาตามกระบวนการเพื่อกลับคืนสู่สภาพสังคมได้ตามปกติ 

โอกาสนี้ผู้บัญชาการทหารบกได้มอบนโยบายให้กำลังพล โดยกล่าวว่า หน่วยเฉพาะกิจสงขลาเป็นกำแพง เป็นด่านสำคัญที่จะช่วยป้องกันเหตุไม่ให้เข้ามาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอให้กำลังพลทุกนายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความปลอดภัย นำศักยภาพของเครื่องมือและเทคโนโลยีที่หน่วยมีอยู่มาปรับใช้ให้เท่าทันต่อสถานการณ์ ขณะเดียวกันต้องประสานร่วมกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่นและภาคประชาชน ตลอดจนสร้างสัมพันธ์ระหว่างมิตรประเทศ ซึ่งต้องดำเนินการในภารกิจทางทหารควบคู่กับมิติทางศาสนา เพื่อส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ประชาชนในพื้นที่มีความเข้าใจ ร่วมขับเคลื่อนสู่สันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน