“MAGURO” ผู้นำร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมียม-แมส เปิดงบโชว์ผลงานครึ่งปีแรก กวาดรายได้ 618 ล้านบาท กำไร 33 ล้านบาท ส่วนงบไตรมาส 2/2567 รายได้โต 8% Q-o-Q และเติบโต 21% Y-o-Yกำไรปกติ 18 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 13 ล้านบาท หลังหักค่าใช้จ่ายในการเข้า IPO ด้าน “เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง” ซีอีโอ ย้ำครึ่งปีหลังพร้อมเปิดเกมรุกขยายเครือข่ายร้านอาหารอีก 11 สาขาเพิ่มขึ้นมากกว่าเป้าเป็น 38 สาขา เจาะทำเลทองตามกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง เดินหน้าเน้นตลาดพรีเมียมกำลังซื้อสูงหนุน Membership แตะ 200,000 ราย มั่นใจครึ่งปีหลังรายได้โตตามเป้า 30%
นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า “ในสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างตึงตัว แต่ผลการดำเนินงานของ MAGURO ในครึ่งปีแรก 2567 มีรายได้รวมที่ขยายตัวมากกว่ารายได้รวมใน 6 เดือนแรกของปีก่อนถึง 117 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้อยู่ที่ 321 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ที่ 297 ล้านบาท และเติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากสาขาที่เปิดใหม่ 2 สาขา ด้านกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 33 ล้านบาท ขณะที่กำไรปกติในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้อยู่ที่ 18 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 13 ล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิไตรมาสที่ 1 ปีนี้ที่ 20 ล้านบาท เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายรายการพิเศษครั้งเดียวในการดำเนินการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 7 ล้านบาท และยังมีต้นทุนวัตถุดิบแซลมอนที่เพิ่มสูงขึ้นจากสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของต้นทุนจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และการปรับปรุงสาขาเดิมในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นแผนการลงทุนที่ทางบริษัทฯ ได้วางไว้แต่เดิมอยู่แล้ว เพื่อพัฒนาศักยภาพร้านอาหารให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าเดิม หรือกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาใช้บริการ ด้วยคอนเซ็ปต์ ‘Give More Culture’ หรือ ‘การให้มากกว่าที่ขอ’ ที่เราใช้ในการบริหารธุรกิจมาโดยตลอด
สำหรับครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าขยายร้านอาหารเพิ่ม11 ร้าน จากครึ่งปีแรกเปิดแล้ว 2 ร้าน และมั่นใจว่าจะสามารถเปิดสาขาได้มากกว่าเป้ารวมที่ตั้งไว้เป็น 13 ร้าน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าระดับพรีเมียม และพรีเมียม-แมส ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้สิ้นปีนี้ Maguro จะมีเครือข่ายทั้งหมด 38 สาขาภายใต้ 4 แบรนด์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยัง เตรียมเปิดตัวร้านอาหารคอนเซ็ปท์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ใหม่ ในไตรมาส 4 นี้อีกด้วย
โดยล่าสุด MAGURO ได้เจาะฐานลูกค้ากำลังซื้อสูงย่านกรุงเทพกรีฑา ทำเลทองบ้านหรู สุดฮ็อต โดยเปิด 2 สาขาพร้อมกันทั้ง มากุโระ และ ฮิโตริ ชาบู เพื่อรองรับลูกค้าในย่านนี้ ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีโครงการบ้านเดี่ยวราคาสูงและค่อนข้างสูงจำนวนมาก ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของบริษัท ที่ให้ความสำคัญกับการทานอาหารระดับพรีเมียม ทำให้ปัจจุบัน MAGURO Group มีร้านอาหารในเครือ รวมทั้งหมด 31 สาขาจาก 4 แบรนด์ คือ 1.) MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม 16 สาขา 2.) SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีวัตถุดิบพรีเมียม 6 สาขา 3.) HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้ หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 8 สาขา และ HITORI คอนเซ็ปท์ใหม่ล่าสุด 4.) HITORI SUKIYAKI ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิมใน รูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course ในรูปแบบ Stand Alone เปิดสาขาแรกที่เอกมัย 12 ไป เมื่อ กลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ MAGURO ยังมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งจากจำนวนสมาชิกที่อยู่ในระบบ (Membership Program) มากกว่า 160,000 ราย (ณ ครึ่งปีแรก) ซึ่งคาดว่าภายในไตรมาส 4 นี้ จะสามารถแตะที่ 200,000 ราย ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัทฯ มีการใช้ระบบ CRM (Customer Relation Management) ในการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้ามาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอโปรโมชั่น และกิจกรรมส่งเสริมการขายให้แก่ลูกค้าได้อย่างตรงจุด ทำให้ทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ได้รับประสบการณ์ที่ดีตามแบบฉบับวัฒนธรรม “Give More” ของ MAGURO
“ครึ่งปีหลังนี้ นอกจากจะมีการขยายสาขา เพิ่มแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามา เพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าทุก เซ็กเม้นท์แล้ว จากการที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารที่ร้านในเครือ MAGURO มีความหลากหลายมากขึ้นในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะจำนวน ที่มีตั้งแต่ 2-3 ท่าน จนถึงเป็นกลุ่มใหญ่ จึงได้ ปรับกลยุทธ์เพิ่มเซ็ตเมนูที่มีขนาดเล็กลงมา รวมถึงการใช้ระบบ CRM วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่งคาดว่ากลยุทธ์การดำเนินงานดังกล่าวที่วางไว้ เมื่อรวมกับการที่ไม่มีค่าใช้จ่ายรายการพิเศษ และต้นทุนแซลมอนในไตรมาสที่ 3 กลับสู่ภาวะปกติ จะช่วยผลักดันรายได้ครึ่งปีหลังขยายตัวต่อเนื่องและทำให้รายได้ทั้งปี 2567 เติบโตตามที่คาดไว้ที่ประมาณ 30% จากปี 2566” คุณเอกฤกษ์กล่าวทิ้งท้าย