หมายเหตุ : “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” มองการเมืองไทยภายหลังที่มี “สว.ชุดใหม่” จะส่งผลอย่างไรหรือไม่ รวมทั้งในห้วงเดือนสิงหาคม ยังมี “คดีใหญ่” อันเป็นปัจจัยเงื่อนไขชี้ขาดต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ตามมา ทั้งการยุบพรรคก้าวไกล คดีถอดถอน “เศรษฐา ทวีสิน” ออกจากนายกรัฐมนตรี รวมถึง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ จะพ้นโทษในราวสิ้นเดือนนี้  ออกอากาศผ่านช่องยูทูบ Siamrathonline เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567

-หลังการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ชุดใหม่ ส่งผลต่อสถานการณ์อย่างไร

เฉพาะในส่วนของการเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่เข้ามา ต้องไม่ลืมว่าความจริงอำนาจของสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ ก็ถูกจำกัดลงไปเยอะ เพราะบทเฉพาะกาลหมดอายุแล้ว อย่างน้อยที่สุดในเรื่องของการเลือกนายกรัฐมนตรีจะไม่ใช่อำนาจของสว.ชุดใหม่แล้ว แต่สิ่งที่ผมคิดว่าจะส่งผลในระยะต่อไปถ้าหากว่าสว.ไม่มีความเป็นอิสระ หรือไปผูกพันกับฝ่ายการเมือง คือเรื่องของการเลือกบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่างๆมากกว่า

เพราะฉะนั้นตรงนั้นน่าจะเป็นจุดสำคัญจุดที่ 1 ส่วนจุดที่ 2 ถ้าหากรัฐบาลสามารถเดินหน้าในเรื่องของการที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การมีสมาชิกสภาล่าง ก็จะต้องอาศัยเสียงของสมาชิกส่วนหนึ่งซึ่งไม่ได้เป็นเสียงส่วนใหญ่ ตรงนี้อาจจะต้องดูอีกระยะหนึ่งว่าแนวโน้มของสมาชิกวุฒิสภาที่เห็นด้วยกับประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีเพียงพอหรือไม่ ผมว่าจะเป็น 2 เรื่องนี้หลักๆ

-ความเป็นอิสระของ สว.ส่งผลต่อการเมืองหรือไม่

ผมไม่ได้มองอย่างนั้น เพราะว่าผมมองว่าเรื่องของพรรคก้าวไกล เรื่องของตัวสถานะของนายกฯเศรษฐา ทวีสิน เป็นเรื่องของสภาล่างเป็นหลัก เพราะฉะนั้นหมายความว่าถ้าสมมติว่าพรรคก้าวไกลถูกยุบก็จะมีผลต่อเรื่องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเขา เช่นอาจจะมีส่วนหนึ่งที่ถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองถูกตัดสิทธิแล้วก็อาจจะกรณีของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ ก็เหมือนกับจะหลุดหายไปเฉยๆ

ส่วนกรณีของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอื่น เป็นที่เข้าใจกันว่าก็จะมีพรรคการเมืองที่มารองรับเป็นหลักแต่แน่นอนที่สุดก็อาจจะเหมือนกับเมื่อครั้งมีการยุบพรรคการเมืองอื่น คือคงจะมีสมาชิกส่วนหนึ่งที่อาจจะตัดสินใจย้ายพรรค พูดง่ายๆคือไม่ได้ไปพรรคที่จะรองรับสมาชิกส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นแนวโน้มก็อาจจะส่งผลว่าถ้าหากมีการยุบพรรค เสียงของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เมื่อเทียบกับฝ่ายค้านก็จะมีเสียงข้างมากขึ้น คือห่างกันมากขึ้น

ส่วนกรณีของนายกฯเศรษฐา ในกรณีที่มีการพ้นจากตำแหน่งก็เป็นเรื่องที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่ก็คาดการณ์กันว่าการจับกลุ่มของพรรคการเมืองก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง ความหมายก็คือ พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลอยู่ ก็ยังเดินหน้าในการที่จะเป็นรัฐบาลร่วมกันต่อไป ถ้าหากฝ่ายค้านสูญเสีย สส.จำนวนหนึ่ง เสียงข้างมากก็จะมีมากขึ้น ผมไม่ได้มองว่าตัวผลของการเลือก สว.จะไปส่งผลอะไรมากมาย 

-สะท้อนถึงสัญลักษณ์การเป็นพรรคขั้วอนุรักษ์ใหม่

ผมไม่แน่ใจว่า พรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลในขณะนี้ เขามองว่าเป็นเรื่องของการเป็นคู่อนุรักษ์ใหม่หรือไม่ เพราะว่าผมเข้าใจว่าพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่เคยยอมรับ การบอกว่าเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม แต่มองว่ามันเป็นความจำเป็นในช่วงที่ผ่านมาที่ไปจับมือกับพรรคที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นขั้วอนุรักษ์มากกว่า แต่โดยที่มีการทำงานกันมาแบบนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าการเกาะตัวกันก็จะเดินหน้าต่อไป

ยกเว้นจะมีประเด็นซึ่งนำไปสู่การแตกหัก ซึ่งที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้มีประเด็นอะไรที่ทำให้ไปสู่ความขัดแย้งนโยบายเรื่องกัญชาก็ดูเหมือนว่าจะมีการมีการประนีประนอมกันลงตัวแล้ว ที่อาจจะมีผลอยู่บ้างก็คือท่าทีต่อกฎหมายนิรโทษกรรม โดยเฉพาะกรณีของ มาตรา 112 ซึ่งก็เป็นเรื่องที่อาจจะยังไม่ได้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นและยังไม่ชัดเจนว่ารูปแบบที่จะเดินหน้าจะเป็นกฎหมายของรัฐบาลหรือจะเป็นเรื่องของกฎหมายของพรรคการเมือง เพราะฉะนั้นผมยังเชื่อว่าการเกาะกลุ่มของพรรครัฐบาลในปัจจุบันยังจะเกาะกลุ่มกันต่อไป

-หากมองในส่วนของพรรคภูมิใจไทย?

คือพรรคภูมิใจไทย ในปัจจุบันก็เป็นพรรคที่มีอำนาจการต่อรองในทางการเมืองสูงอยู่แล้วในสภาล่าง ถ้าหากว่าไปคิดถึงเรื่องของวุฒิสภาด้วยและมีการพูดถึงว่าบุคคลที่เข้าไปมีความใกล้ชิดก็อาจจะทำให้ดูว่าพรรคภูมิใจไทยมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นมาอีก ดังนั้นอย่างไรเสียพรรคภูมิใจไทยก็จะต้องอยู่ในรัฐบาล เพียงแต่ว่าระยะหลังก็มีการพูดคำว่าในกรณีที่นายกฯเศรษฐา ต้องพ้นจากตำแหน่งแล้วถ้าหากว่าพรรคเพื่อไทยมองว่าบุคคลที่ตัวเองนำชื่อเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีแนะนำเสนอขึ้นไปอาจจะมีความไม่พร้อมบางอย่างก็อาจจะเป็นไปได้หรือไม่ ว่าจะพูดคุยกับพรรคภูมิใจไทยที่จะให้คุณอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค  มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่โดยทั่วๆ ไปเราก็คิดว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะต้องที่จะผลักดันคนของตัวเองก่อน

-มองการบริหารประเทศของนายกฯเศรษฐา อย่างไรบ้าง

ผมคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล ข้อแรกเลยก็คือต้องยอมรับว่าปัจจัยต่างๆในโลก ไม่ค่อยเอื้ออำนวย ความขัดแย้งในจุดต่างๆเลยส่งผลให้เศรษฐกิจโลกไม่ได้เป็นกำลังที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยได้อย่างปกติ ประการที่ 2 การที่โลกมีความขัดแย้งกันสูงและมีประเด็นที่ทำให้รัฐบาลของคู่ค้าสำคัญๆมีความกังวลอยู่ก็ทำให้แนวทางที่นายกฯเดินทางไปต่างประเทศเพื่อชักชวนให้คนมาลงทุนในประเทศไทยอาจจะได้รับการตอบรับน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากว่าในแง่ของภาครัฐเขามีความกังวลในเรื่องอื่น

ที่สำคัญก็คือผมก็มองว่าปัญหาของการบริหารงานของรัฐบาลในช่วงปีที่ผ่านมา สูญเสียเวลาพละกำลังกับการหาจุดลงตัวสำหรับนโยบายที่ชูเป็นนโยบายหลักในการหาเสียง คือเงินดิจิทัลวอลเล็ต จนทำให้เรื่องอื่นๆเหมือนถูกมองข้ามไป สิ่งที่ผมว่าหลายฝ่ายก็รอคอยอยู่ในขณะนี้คือให้เรื่องของเงิน 10,000 บาท เสร็จสิ้นยุติไป ทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ก็มีความรู้สึกว่าถ้ามันยังอยู่ในสถานะที่ยังต้องมาถกเถียงกังวลกันอยู่แบบนี้ มันมีเรื่องอื่นอีกเยอะที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ผมว่ารัฐบาลเองก็ตระหนักว่าจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างรุนแรง ก็รู้ว่าจำเป็นที่จะต้องมีผลงานสร้างความประทับใจเพื่อทำให้สามารถรับคะแนนนิยมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ดังนั้นคงต้องดูว่าหลังจากที่ประเด็นเรื่องของ 10,000 บาท คลี่คลายไปแล้ว รัฐบาลจะสามารถผลักดันนโยบายต่างๆเพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น เป็นที่พอใจของประชาชนมากน้อยแค่ไหน เพราะลำพังโครงการเงิน 10,000 บาท คงส่งผลในระยะสั้นๆมากกว่า

-มีความเห็นอย่างไรต่อบทบาทคุณทักษิณ ชินวัตร

ผมคิดว่าบทบาทของคุณทักษิณก็คงไปในทางที่เปิดเผยมากขึ้น ที่ใช้คำนี้ก็เพราะว่าผมคิดว่าหลายคนก็มองว่าที่ผ่านมาก็คงจะมีบทบาทอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นในลักษณะที่เปิดเผยมากขึ้น ผมไม่ทราบว่าพรรคเพื่อไทยหลายๆส่วนก็พยายามที่จะดูว่าจะมีการให้บทบาทกับคุณทักษิณในเรื่องของรัฐบาลอย่างไร ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจะเข้ามาทำงานหรือช่วยงานที่มีบทบาทชัดเจนด้านใดด้านหนึ่งมากขึ้นก็เป็นไปได้

-แล้วจะสร้างแรงกดดันทางการเมืองหรือไม่

ผมมองว่าถ้ามีการเพิ่มบทบาทขึ้น คนก็มองอยู่แล้วว่า จะมีทั้งบวกทั้งลบอาจจะทำให้การขับเคลื่อนอะไรต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกลไกของพรรคเพื่อไทย รัฐบาลกระฉับกระเฉงมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันเสียงต่อต้านก็คงจะมีเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของทางพรรคเพื่อไทยที่คงจะต้องประเมินให้ดีว่าจะเป็นอย่างไรและผมมองว่าจุดที่จะเป็นจุดละเอียดอ่อนมากกว่าก็คือเรื่องของกฎหมายนิรโทษกรรม

โดยเฉพาะเรื่องของมาตรา 112 ว่าจะมีแนวทางในการทำเรื่องนี้อย่างไรเพราะว่าจะเห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมา บรรดาผู้ที่มีอำนาจทั้งหลายยกเว้นคณะกรรมาธิการที่ได้เข้ามาทำงานเรื่องนี้โดยตรง ก็พยายามที่จะหลีกเลี่ยงในการตอบประเด็นนี้ ให้มีความชัดเจน แม้กระทั่งตัวกรรมาธิการเองก็เช่นเดียวกันก็ไม่ได้มีมติแต่เข้าใจว่าได้มีการบันทึกความเห็นกันไว้อยู่

-พรรคการเมืองที่ประกาศจุดยืนส่งผลอย่างไร

มันก็มีความหลากหลายอยู่  เพราะในพรรครัฐบาลก็ไม่ได้มีเสียงเดียวกัน บางพรรคก็พูดชัดเจนว่าไม่ให้มีการนำเรื่องนี้เข้ามาเลย อย่างนี้เป็นต้น ท่าทีของพรรคก้าวไกลบางส่วนอย่างน้อยๆ ก็ตัวผู้นำฝ่ายค้าน ก็ดูจะมีท่าทีที่พยายามจะแสวงหาแนวทางในการประนีประนอมมากขึ้น เช่นมีการพูดถึงเรื่องของการที่จะได้รับการนิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไขอย่างนี้เป็นต้น

ผมว่าผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา แล้วก็มีคดีความทุกฝ่ายก็คงมีความคาดหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากกฎหมายนิรโทษกรรม แม้จะมีการตั้งกรรมาธิการจะมีการศึกษาอะไรก็ตาม ปลายทางจริงๆมันคือเรื่องของการออกกฎหมาย ซึ่งจนกว่าเราจะได้เห็นตัวร่างพระราชบัญญัติ ที่จะนิรโทษกรรม

ผมว่าคงจะตอบยากว่าแต่ละฝ่ายจะคิดอย่างไร แล้วจะส่งผลอย่างไร แต่ผมว่าเชื่อว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนมากที่สุดเรื่องหนึ่งในทางการเมือง ถ้ามองไปข้างหน้าหลายๆเดือน ถ้าแก้ประเด็นที่มันละเอียดอ่อนได้ ผมก็มองว่าทุกฝ่ายก็ดูเหมือนจะสนับสนุนให้มันเกิดขึ้น จะไปสะดุดตรงเงื่อนไขนั้นหรือเปล่าก็อยู่ที่วิธีการที่จะจัดการกับปัญหานั้น

โดยส่วนตัวผมมองว่าความละเอียดอ่อนของมาตรา 112 เป็นประเด็นที่ควรจะได้มีเวทีเฉพาะในการที่จะมาพูดคุยกัน เพราะผมมองว่าความขัดแย้งในเรื่องนี้ก็ไม่ได้ส่งผลดีกับฝ่ายใดทั้งสิ้น แล้วก็ไม่ได้ส่งผลดีกับภาพรวมของประเทศ เสียดายมาโดยตลอดว่ามันไม่มีความพยายามในการที่จะพูดเรื่องนี้กันด้วยเหตุด้วยผลมากกว่าที่จะพยายามเอามาเป็นประเด็นของการต่อสู้หรือเรียกร้อง ประเด็นที่ขัดแย้งกันแบบรุนแรงโดยเป็นความขัดแย้งที่ค่อนข้างจะมีอารมณ์กันค่อนข้างสูง

ปัญหาของการพูดถึงการนิรโทษกรรมกับเรื่องนี้มันมีความยากตรงที่ว่าความผิดอื่นๆยกตัวอย่างเช่นใครไปฝ่าฝืนกฎหมายพิเศษช่วงการชุมนุมอย่างนี้มันก็ตอบง่าย ความผิดบางประการเล็กๆ น้อยๆ ใช้เครื่องขยายเสียง กีดขวาง บุกรุก ก็พูดกันได้ ความผิดบางอย่างผมก็เข้าใจว่าคงไม่นิรโทษกรรมให้  เช่น การทำร้ายร่างกาย หรือทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต ทรัพย์สินก็อาจจะมีการแยกกันได้ระหว่างทรัพย์สินรัฐ กับทรัพย์สินเอกชนอย่างนี้เป็นต้น แต่ความผิดในมาตรา 112 ต้องยอมรับความเป็นจริงว่ามันมีความหลากหลาย หลายคดีก็มีการโต้แย้งกันว่ามันเป็นความผิดจริงหรือไม่ หรือการบังคับใช้การตีความกฎหมายมันเกินเลยไปจากเจตนารมณ์ แต่ในบางหลายกรณี ผมคิดว่าเป็นความผิดที่ค่อนข้างชัดว่ามันผิดในแง่ของการไปละเมิดสถาบันสูงสุดของชาติ

ดังนั้นเวลาพอพูดเรื่องมาตรา 112 แล้วไปพยายามหาคำตอบเดียวว่าจะมีนิรโทษกรรมให้ หรือจะไม่มีนิรโทษกรรมให้  จึงมีปัญหาตลอดเวลา จึงต้องการการพูดประเด็นนี้โดยเฉพาะ ถ้าสามารถพูดกันได้หาข้อยุติได้แล้วก็สามารถเอาข้อยุตินั้นไปเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายนิรโทษได้ ก็ไม่ได้เป็นปัญหา แต่ว่าถ้าจะพยายามหาคำตอบเดียว แล้วก็จะให้มันเป็นที่ยอมรับทุกฝ่าย น่าจะเป็นเรื่องที่ยากมาก

-ประชาชนควรมองการเมืองในเวลานี้อย่างไร

ต้องบอกว่าสภาพการเมืองเรามันถูกกำหนดโดยกติกา ซึ่งก็มีทั้งคนเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ในความเห็นผมเอง กติกาหลายข้อก็ดี หลายข้อก็ไม่ดี สร้างปัญหา แต่ทุกอย่างก็ต้องดำเนินการไปตามระบบแบบนี้ คดีความต่างๆก็ต้องมีการหาข้อยุติกันไป

แต่สิ่งที่อยากให้สังคมทั้งสังคม โดยเฉพาะในส่วนของรัฐบาลตระหนักมากขึ้นก็คือว่าสภาวะของเศรษฐกิจ สถานะของประเทศไทยขณะนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากพอสมควร ไม่ใช่จะเป็นปัญหาของคนภายในประเทศ แต่หลายคนข้างนอก ก็มองว่าศักยภาพของประเทศไทยมีมาก แต่ในปัจจุบันมีความลังเลในการที่คนจะเข้ามาลงทุน ความรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถที่จะแข่งขันได้ หรือมีความเข้มแข็งเท่าที่ควร

สภาพปัญหาของประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้ด้อยโอกาสคนยากจนสภาพความเหลื่อมล้ำหรือโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่มีความไม่เป็นธรรมมากขึ้น สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งที่เราอยากให้กระบวนการทางการเมืองมาใส่ใจ แล้วก็มาหาคำตอบให้ได้โดยเร็ว