คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

ในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมาภายหลังจากที่ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ประกาศถอนตัวจากการเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต ตามติดมาด้วยเขาออกมาประกาศรับรองและสนับสนุนให้ “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส” เข้ารับเป็นทายาททางการเมืองแทน จึงเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าแนวโน้มของพรรคนี้กำลังเปลี่ยนไปทางที่ดี

เพราะเพียงแค่สองสัปดาห์เท่านั้น รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ได้สร้างความฮือฮาและยังได้เรียกความกระตือรือร้นให้เกิดขึ้นภายในพรรคเดโมแครตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แถมยังสร้างสถิติที่เกิดขึ้นใหม่ในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯด้านเม็ดเงินบริจาค ที่ขณะนี้เธอได้รับอย่างถล่มทลายไปแล้วกว่า 310 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว!!!

ทั้งนี้เม็ดเงินบริจาคก้อนโตดังกล่าวกว่า 66% ล้วนแต่มาจากผู้ที่เพิ่งเคยควักกระเป๋าบริจาคให้แก่นักการเมืองที่ตนชื่นชอบเป็นครั้งคราแรก (ข้อมูลจากสำนักข่าวเอพี เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2024 และจากสำนักข่าวพีบีเอส เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2024)

ทำให้ขณะนี้เม็ดเงินที่ใช้ในการหาเสียงของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส มีเงินสดเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 377 ล้านดอลลาร์  และกองทุนของ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คู่ต่อสู้ มีเงินสดที่ใช้ในการหาเสียงอยู่ที่ 327 ล้านดอลลาร์

เป็นได้อย่างไรที่แค่เพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้นดูเหมือนว่ารองประธานาธิบดีแฮร์ริส จะมีกระแสตอบรับอย่างล้มหลามจากบรรดาเยาวชนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไฟแรงที่ส่วนใหญ่จะเป็นคนผิวสีและชาวละติน ที่ขณะนี้พวกเขาออกมาแสดงเจตจำนงต้องการที่จะเข้าไปเป็นอาสาสมัครช่วยเธอหาเสียง และช่วยเรียกร้องให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งแล้วกว่า 170,000 คน เฉพาะที่รัฐฟลอริดา ปรากฏว่ามีอาสาสมัครมากที่สุดกว่าทุกๆรัฐ ซึ่งถือเป็นปรากฎการณ์ที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย

และเป็นไปได้อย่างไรที่ รองประธานาธิบดีแฮร์ริสยังได้รับการสนับสนุนจากแกนนำของพรรคเดโมแครตอย่างรวดเร็ว โดยหลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศถอนตัว “อดีตประธานสภาฯแนนซี เพโลซี” ก็ออกมาประกาศสนับสนุนเธออย่างรวดเร็ว ตามติดมาด้วย“วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์”ผู้นำพรรคในวุฒิสภา และ“ส.ส.ฮาคีม เจฟฟรีส์” ผู้นำส.ส.เสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนฯ โดยมี “อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน” “ฮิลลารี คลินตัน” และ “อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา” พร้อมด้วยภรรยา “มิเชล โอบามา” ต่างออกมาผนึกพลังสนับสนุนอย่างทันทีทันควัน

แถมยังมีนักลงทุนและบุคคลในวงการบันเทิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังออกมาประกาศสนับสนุนเธออย่างกระตือรือร้น มีผลทำให้รองประธานาธิบดีแฮร์ริสกลายเป็นตัวแปรที่สร้างโมเมนตัมจนมีเงินบริจาคหลั่งไหลเข้าไปอย่างรวดเร็วและคะแนนนิยมของเธอก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามลำดับด้วยเช่นกัน

จากการสำรวจของสำนักหยั่งเสียง FiveThirtyEight แห่งสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ช่องเอบีซี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2024 เปิดเผยออกมาว่า ขณะนี้คะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส นำหน้าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไปแล้วกว่า 1.4% (45.0 ต่อ 43.6 เปอร์เซ็นต์)

และจากโพลของ YouGov/Economist เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2024 ที่เคยเปิดเผยว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มีคะแนนนิยมนำรองประธานาธิบดีแฮร์ริสอยู่ที่ 5% (44 ต่อ 39 เปอร์เซ็นต์) แต่ทว่าในวันที่ 23 กรกฎาคมหลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศถอนตัวปรากฏว่า คะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส กลับนำขึ้นหน้าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไป 3% (44 ต่อ 41 เปอร์เซ็นต์)

นอกจากนั้นแล้วก็ยังมี “คาร์ล โรฟ” นักยุทธศาสตร์ของพรรครีพับลิกัน ที่เคยเป็นมันสมองให้กับ “อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช”ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเมื่อวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม ในรายการของสถานีโทรทัศน์ช่องฟอกซ์นิวส์ว่า หลังการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตสิ้นสุดลงในวันที่ 22 สิงหาคม 2024นี้รองประธานาธิบดีแฮร์ริส คงจะสร้างโมเมนตัมมีคะแนนนิยมนำหน้าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไปหลายขุม

และจากผลสำรวจล่าสุดของ Bloomberg News และสำนักหยั่งเสียง Morning Consult เปิดเผยออกมาเช่นกันว่า ระยะเวลาเพียงแค่สองสัปดาห์ปรากฏว่า รองประธานาธิบดีแฮร์ริส กวาดเอาคะแนนนิยมของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เคยนำอยู่ในเจ็ดรัฐซึ่งถือเป็นสมรภูมิการเลือกตั้ง หรือที่เรียกทั้งเจ็ดรัฐนี้ว่า “รัฐสวิง” ไปแล้ว 48 ต่อ 47 เปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตามระหว่างวันอังคารที่ 6 สิงหาคม ถึงวันศุกร์ ที่ 10 สิงหาคม 2024 นี้ รองประธานาธิบดีแฮร์ริสกับผู้ที่ได้รับเลือกในตำแหน่งรองประธานาธิบดี จะออกเดินทางวิ่งรอกหาเสียงในรัฐสมรภูมิหรือรัฐสวิงทั้ง 7 รัฐที่เป็นรัฐชี้ขาดในการแข่งขันนั่นก็คือ รัฐอริโซนา จอร์เจีย มิชิแกน เนวาดา  เพนซิลเวเนีย วิสคอนซิน และนอร์ทแคโรไลนา ที่จะมีคะแนนอิเล็กโทรัลโหวตทั้งหมดถึง 93 เสียง

และเมื่อมองจากภาพรวมกันดูแล้ว ขณะนี้การให้ความสนับสนุนต่อรองประธานาธิบดีแฮร์ริส นับว่ามีพร้อมเพรียงและยังมีสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ

ส่วนการดีเบตระหว่างอดีตประธานาธิบดีทรัมป์กับรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ก็ยังเป็นสิ่งที่นักการเมืองทั้งสองออกมาเอ่ยปากประกาศท้าทายต่อกัน โดยหลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถอนตัว ปรากฏว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาท้าทายต่อรองประธานาธิบดีแฮร์ริสว่า พร้อมที่จะประชันฝีปากกันหรือยัง? จะจัดที่ไหน?และจะจัดเมื่อไหร่?ก็ได้เสมอ แต่เมื่อรองประธานาธิบดีแฮร์ริส เอ่ยปากตอบรับว่า “ขอให้รักษาวันแข่งขันเดิมนั่นก็คือวันที่ 10 กันยายน 2024 เอาไว้ ปรากฏว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ส่ายหัวดุกดิกไม่รับคำท้า จนถูกประณามว่า เป็นคนขี้ขลาดตาขาว

แต่จู่ๆเมื่อวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2024 ที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันนี้ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ลงในสื่อโซเชียล“Truth Social” ที่เขาเป็นเจ้าของว่า “ขอให้มีการดิเบตประชันฝีปากกันในวันที่ 4 กันยายน 2024 แต่จะต้องจัดที่รัฐเพนซิลเวเนีย แถมยังกำหนดตัวของพิธีกรทั้งสองเอง และยังกำหนดให้จัดขึ้น ณ สถานีโทรทัศน์ช่องฟอกซ์นิวส์ ซึ่งเป็นช่องอนุรักษ์นิยมที่เชียร์อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างออกนอกหน้าเรื่อยมา!!!

มีผลทำให้รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาปฏิเสธไปอย่างทันควัน แถมยังกล่าวเหน็บแนมอีกว่า “ขอให้โดนัลด์ ทรัมป์หยุดเล่นเกม และขอให้ไปปรากฏตัวแข่งขันดีเบตที่สถานีโทรทัศน์ช่องเอบีซี ในวันที่ 10 กันยายน 2024 เหมือนเดิม อย่าขี้ขลาดหวาดกลัวออกมาดีเบตกันซึ่งๆหน้าดีกว่า”

เป็นที่น่าสนใจอีกเช่นกันว่า”ศาสตราจารย์ดร.อลัน ลิทช์แมน” แห่งมหาวิทยาลัยอเมริกัน ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านการทำลายผลการเลือกตั้งได้อย่างถูกต้องถึง 9 ใน 10 ครั้งตั้งแต่ปีค.ศ. 1982 เรื่อยมา ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ว่า โอกาสที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริสจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปโอกาสมีสูงอย่างมาก แต่จะขอออกมากล่าวทำนายล่วงหน้าในวันที่ 22 สิงหาคม 2024นี้ หรือในอีกสองเดือนครึ่งก่อนที่หน้าที่จะถึงวันเลือกตั้งนั่นเอง!

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเมื่อลองวิเคาะห์ดูจากแนวโน้มกันแล้ว คะแนนนิยมของ “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส”คงจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงเม็ดเงินบริจาคก็คงจะหลั่งไหลเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน แถมการที่อาสาสมัครรุ่นใหม่ไฟแรงกระตือรือร้นที่จะมาช่วยเธอรณรงค์หาเสียงก็ยังถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่อย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ฉะนั้นสิ่งที่เราๆท่านๆทำได้ในตอนนี้ก็คือ ตั้งหน้าตั้งตาคอยรอดูผลการวิ่งรอกหาเสียงในรัฐสมรภูมิทั้งเจ็ดรัฐในสัปดาห์นี้ว่า ผลจะออกมาอย่างไรและตามติดมาด้วยการประชันฝีปากดิเบตของทั้งสองกันว่าจะมีเกิดขึ้นหรือไม่? และจะมีผลอย่างไร? กันต่อๆไปละครับ