บทความพิเศษ

ภายหลังกระทรวงการคลังเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” จนเป็นที่กล่าวถึงอันดับหนึ่งในโลกโซเชียล นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ก็ได้ออกมากำชับเชิญชวนประชาชนให้ใช้จ่ายในพื้นที่ที่ตนอยู่เพื่อให้การใช้จ่ายสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การกระจายรายได้และความเจริญสู่ทุกพื้นที่และภูมิภาคของประเทศ

โครงการนี้เป็น “เรือธง” ของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศไว้ในช่วยการหาเสียงเลือกตั้ง ดังนั้น ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล พรรคเพื่อไทยจึงจำเป็นต้องเข็นออกมาให้ได้ โดยหวังว่า งบประมาณกว่า 1.22 แสนล้านบาทจะช่วยให้ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยมีสภาพคล่อง มีเงินใช้จ่ายมากขึ้น สร้างพายุหมุนหลายทอดซึ่งจะส่งผลกระตุ้นและต่อลมหายใจให้เศรษฐกิจไทยที่ซบเซาได้

แม้การกระตุ้นการใช้จ่ายทำให้เงินในระบบเพิ่มขึ้นและคาดว่าจะนำมาซึ่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจราวร้อยละ 1.2 ถึง 1.8 แต่ก็อาจปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้พ่อค้าแม่ขายในประเทศได้รับผลกระทบหนักจนต้องทยอยปิดกิจการไปนับไม่ถ้วนคือการเข้ามามีบทบาทของผู้ประกอบการจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ผู้ประกอบการจากประเทศจีน’ ที่เข้ามาบุกตลาดไทยในทุกอุตสาหกรรมตั้งแต่ร้านอาหารตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น ทิชชู่ราคาถูก แฟรนไชส์ไอศกรีมราคาถูก หรือล่าสุดแฟรนไชส์ไก่ทอดราคาถูกที่ตั้งราคาเพียงชิ้นละ 15 บาทเท่านั้น ทำให้เงินที่ถูกเพิ่มเข้ามาในระบบนั้น ไม่สร้างประโยชน์กับผู้ประกอบการในประเทศอย่างแท้จริง

โจทย์ใหญ่สำหรับรัฐบาลในการอุดรอยรั่วนี้คือจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้ แต่ขณะเดียวกันก็ปกป้องธุรกิจรายย่อยและผู้ประกอบการชาวไทยให้ยังคงมีความสามารถในการแข่งขัน

อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยรวมถึงรายได้ของภาครัฐคือสินค้าเถื่อนและสินค้าลักลอบ ที่นอกจากจะเป็นการปล่อยสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้าสู่มือของผู้บริโภคแล้ว ยังทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในด้านการให้ความสำคัญกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา

ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการบ่อนทำลายความพยายามของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้ภาษีมหาศาล ยกตัวอย่างเช่นอุตสาหกรรมน้ำมันที่ต้องเผชิญกับวิกฤตน้ำมันเถื่อน ที่มีเงินหมุนเวียนสูงถึงเดือนละกว่า 1,500 ล้านบาท หรืออุตสาหกรรมยาสูบที่สะท้อนให้เห็นภาพผลกระทบจากของเถื่อนชัดเจนที่สุด รายได้ของการยาสูบแห่งประเทศไทยที่หดหายจนเหลือเพียงปีละ 200 ล้านบาทจากบุหรี่ผิดกฎหมายที่ปัจจุบันครองสัดส่วนการบริโภคบุหรี่กว่าร้อยละ 25.5  หรือ 1 ใน 4 สร้างความเสียหายทางภาษีให้แก่รัฐไทยสูงถึงปีละ 30,000 ล้านบาท ไหนจะบุหรี่ไฟฟ้านานาชนิดที่ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงประเทศจีน ที่มีข้อมูลระบุว่าส่งออกบุหรี่ไฟฟ้ามายังประเทศไทยคิดเป็นมูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท สินค้าเถื่อนเหล่านี้นั้นส่งผลกระทบต่อเป็นทอดๆ ถึงผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมตั้งแต่ชาวไร่ยาสูบ ร้านค้าบุหรี่ถูกกฎหมาย ผู้บริโภคบุหรี่

การที่รัฐบาลจะ “ดูแลปากท้อง” ของประชาชน หรือการกระตุ้นและผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตนั้น ไม่อาจทำได้ผ่านการอัดฉีดรายได้และสนับสนุนการจับจ่ายใช้สอยเพียงทางเดียว แต่จำเป็นต้องมีมาตรการจัดการ “รอยรั่ว” ที่ชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจและกระทบธุรกิจถูกกฎหมายในประเทศอย่างไม่เป็นธรรม ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดจับกุมกวาดล้างจัดการกับธุรกิจและสินค้าเถื่อนที่ส่งผลกระทบต่อการรายได้ของผู้ประกอบการและเกษตรกรในประเทศที่ปฏิบัติตามกฎหมายและเสียภาษีให้รัฐบาลไทย แต่กลับไม่ได้รับความคุ้มครองใด ๆ จากภาครัฐ