เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 8 ส.ค.67 แพรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร นำหลักฐานไปมอบให้กับสภทนายความ หลังจากร้องให้ตรวจสอบมรรยาททนายความท่านหนึ่งไป ตั้งแต่ปี 65 

ซึ่งทนายธรรมราช สาระปัญญา ได้เดินทางมาถึงก่อนพร้อมเปิดเผยว่า วันนี้มากรณีที่คุณแพรี่มาร้องการกระทำของตนเองเข้าข่ายเป็นการทำที่ผิดมรรยาททนาย ซึ่งเป็นการร้องให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และให่ฃ้ทางคณะกรรมการมรรยาทพิจารณซึ่งเรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 65 ที่กล่าวหาว่าตนเองพูดถึงเขาในทางที่เสียหายพูดวิจารณ์เรื่องการแสดงท่าที่ของเขากับพระสงฆ์ เป็นเหตุให้ต้องไปกล่าวโทษที่ ฉะเชิงเทรากรณี พรบ.คณะสงฆ์ อีกกรณีเป็นเรื่องการที่ตนเองเอาคำพิพากษาคดีเช่าซื้อที่ศาลยกฟ้องมาโพสให้ความรู้ประชาชน เป็นการอวดอ้างว่าตนเองมีความเก่งหรือไม่อย่างไร ส่วนนี้ตนเองมีความคิดเห็นกว่าการที่นำมาเผยแพร่ก็เพื่อให้ความรู้กับประชาชน และเรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่ิอง

ซึ่งเดือนที่แล้วก็ได้เดินทางมาที่สภาทนายชี้แจกในกเรื่องท่าที่ที่ตนแสดงออกทางสื่อโซเชียลอะไรที่เข้าข่ายก็ได้ลบโพสไปแล้วตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ ส่วนที่ถูกกล่าวหาเรื่องอื่นๆตรเองได้ปฏิเสธมทุกกรณีซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ตนเิงโพสเฟสบุ๊กไม่ใช่เรื่องที่ตนทำหน้าที่ในฐานะเป็นทนายความฃในศาล ซึ่งถ้าเขาเสียหายก็ไปร้องตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่มาร้องเรื่องมรรยาท การที่มาร้องแบบนี้เขาน่าจะมีความโกรธเคืองตนเองที่มีการวิจารณ์กรณีที่เขาพูดถึงพระสงฆ์และพระผู้ใหญ่หลายๆรูป ตนเองถือว่าเป็นการตักเตือนเขามากกว่า และวันนี้เป็นการไต่สวนครั้งแรกตั้วแต่มีการร้อง

ต่อมาแพรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร ได้เดินทางมาถึง พร้อมระบุว่า วันนี้มาตามกำหนดนัดไต่สวนของคณะกรรมการมรรยาททนายความ ที่ได้มาร้องทนายมรรยาทไว้ สืบเนื่องจากกรณีของพระชาตรี ที่ได้กล่าวโทษไว้ ที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา และมีการเหยียดเพศ จึง  มองว่าเป็นเรื่องที่ของการผิดมรรยาททนายความ จึงใช้สิทธิ์ของบุคคลที่ถูกพาดพิงและถูกกล่าวหา มาร้องเรียนไว้ เมื่อปี 2565 โดยได้มีการอ้างพยานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมด 4 ท่าน ในจำนวนนั้น มีนายอนันต์ชัย ไชยเดช  ด้วยในชั้นนี้ อยากให้มีข้อยุติก่อนในส่วนของการร้องมรรยาททนายความ เพราะส่วนตัวมีความเชื่อมั่นในกระบวนการสอบสวนของสภาทนายความฯ เพราะคงมีขั้นตอนในการทำงานในการสอบสวน และตนเองมีหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริง  ไล่เรียฃว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงได้ มาร้องเรียนมรรยาททนายความ

ในระหว่างที่ผู้สื่อข่าวกำลังสัมภาษณ์สัแพรี่ ไพรวัลย์ อยู่นั้นทนายธรรมราช ได้มายืนสังเกตการณ์ ก่อนจะมีปะทะคารมกันเล็กน้อย ผู้สื่อข่าวจึงได้เชิญทั้งคู่มายื่นให้สัมภาษณ์ไปด้วยกัน โดยทนายธรรมราช อ้างว่า สิ่งใดที่ตนไลฟ์สด แล้วพาดพิงคนอื่นทำให้ไม่สบายใจ ได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ว่า ควรลบออก ตนเอง ก็ลบออกให้แล้ว พร้อมกับ ขอโทษ แพรี่ ในกรณีที่ได้มาเดินวนสังเกตุการณ์ขณะที่แพรี่ ให้สัมภาษณ์ และอาจทำให้ไม่สบายใจ ก็ต้องขอโทษแพรี่ เพราะส่วนตัวไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับแพรี่มาก่อน ส่วนกรณีอื่น ก็ปล่อยให้เป็นกระบวนการขั้นตอนทางกฎหมาย เพราะตนเองปฏิเสธไปแช้ว

ขณะที่แพรี่ กล่าวโต้ว่า การลบไม่ได้ช่วยให้ลืม และยืนยันว่า ตนเองไม่ได้มีอะไร และถ้าถือโทษโกรธเคืองกัน คงไม่มาพูดหยอกล้อกันแบบนี้ แต่ในเรื่องของข้อพิพาทกัน เข้าสู่กระบวนการไปแล้ว ก็ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอน เพราะ ทนายธรรมราชมีหัวโขนหลายใบ หากเป็นคนธรรมดาตนเองก็คงไม่ร้องแต่เขาเป็นทนาย หากเข้าข่ายทำผิดมรรยาท ก็ต้องมาร้องเรียนและหากทนายธรรมราชคิดว่า ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ให้เตรียมพยานหลักฐาน ไว้ตอบคณะกรรมการมรรยาททนายไว้ด้วย

ในส่วน ทนายอนันตชัย วันนี้มาให้กำลังใจคุณแพร์รี่ และได้รับเกียรติให้มาเป็นพยานในกรณีที่เมื่อปี 2565 มีพระรูปหนึ่งที่ประเทศรัสเซีย มีการไลฟ์สดด้อยค่าและด่าคุณแพร์รี่ และอีกเยอะแยะมากมาย มีการพูดถึงเนรคุณวัด ว่าตอนแรกจะมาสอนธรรมะแต่กลับมาประพฤติอีกแบบนึง คุณแพร์รี่เองก็ตอบโต้ไป ปรากฏว่ามีทนายท่านหนึ่งมีฉายานามว่าทนายแซะ ไปแจ้งความดำเนินคดีที่สภ. ฉะเชิงเทราว่าหมิ่นคณะสงฆ์ ในฐานะที่เราเป็นทนายจึงให้ข้อคิดเห็นและข้อกฎหมาย แต่ณตอนนั้นตนและคุณแพร์รี่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ว่าการที่มีการตอบโต้กลับเป็นการทะเลาะวิวาทไม่เข้าความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตามกฏหมายอาญามาตรา 326 328 ดังนั้นพระชาตรีจะมาดังนั้นคดีกับคุณแพรไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นผู้เสียหาย และตนเป็นผู้ก่อก่อน

และเรื่องคณะสงฆ์ จะต้องหมายถึงสองคนขึ้นไป จึงแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ไป จากวันนั้นตนทราบเพียงว่ามีการมาร้องมรรยาททนายความ ก็เหมือนกับตนที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่น เจ้าพนักงาน ที่สน. ทองหล่อซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับทนายคนนี้เลย กรณีนี้ตำรวจก็มาขอโทษแล้วซึ่งพระชาตรีก็มีการขอโทษคุณแพร์รี่แล้วดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวอะไรกับทนายท่านนี้เลยมันเหมือนเป็นการส่งเสริมให้เกิดความ 

ทนายอนันตชัย ยังระบุอีกว่า ต้องขอบคุณสภาทนายความที่ทำให้มีวันนี้ อาชีพทนายความเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติ ก่อนที่จะมีโซเชียล ผู้นำทนายความทุกคนกลัว แต่พอถึงตอนนี้ทุกคนกลับยี้ บางคนก็ขยะแขยง ทนายส่วนใหญ่ดีหมด ต้องมีทนายส่วนน้อยที่ทำให้อาชีพของเราถูกบูรี่ด้อยค่าจากประชาชน วันนี้ก็เป็นนิมิตหมายที่ดีที่มีการสอบสวน