สำหรับ “มิราเคิล กรุ๊ป” มีการลงทุนทั้งเลานจ์ ในสนามบินสุวรรณภูมิ ทรานซิส โฮเทล เลานจ์-เดย์รูม ศูนย์อาหารเมจิก ฟู้ดพอยท์ ศูนย์อาหารเมจิก การ์เด้น ร้านอาหารเมจิกอร่อย สลิพ บ็อกซ์ ในสนามบินดอนเมือง จนมีโรงแรมรวม 4 แห่ง รวมห้องพักกว่า 647 ห้อง และขยายธุรกิจในสนามบินทั้งที่ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ จนมีเลานจ์มากถึง 18 แห่ง รวมไปถึงที่พักสำหรับผู้โดยสารในสนามบิน และแมจิกฟู้ด ศูนย์อาหารที่ขายถูกที่สุดในสนามบิน
โดย นายอัศวิน อิงคะกุล ประธานกรรมการบริหาร มิราเคิล กรุ๊ป กล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมในเครือมีรายได้หลักมาจากอาหารและเครื่องดื่มมากกว่ารายได้จากการเข้าพัก โดยมีงานจัดประชุม สัมมนา และงานแต่งงานเข้ามา ดังนั้นแม้การดำเนินธุรกิจโรงแรมเวลานี้จะมีกำไรสุทธิ ต่ำกว่าในอดีต แต่ในปี 2567 นี้ คาดว่ายังอยู่ประมาณ 10% ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดโปรโมชั่น เพื่อดึงลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งการเข้าไปลงทุนมิราเคิล ทรานซิท หรือ เดย์รูม ที่สนามบินดอนเมือง และมิราเคิล เลานจ์ (ห้องรับรองผู้โดยสาร) ที่สนามบินดอนเมือง ตั้งแต่ปี 2536 จนถึงการลงทุนศูนย์อาหารเมจิก ฟู้ด และมีมิราเคิล เลานจ์ ทั้งที่สนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ รวมกว่า 18 แห่ง
อีกทั้งล่าสุดยังได้เข้าไปลงทุนเปิดให้บริการ“ไพร์ม สลีป แอนด์ คาเฟ่ บาย มิราเคิล” (Prime Sleep & Café by Miracle)ในสนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน 25 ห้องในพื้นที่ 600 ตารางเมตร โดยเป็นพื้นที่แลนด์ไซด์ บริเวณ ชั้น 6 ตึกอาคารจอดรถโซน 3 ติดกับพิพิธภัณฑ์ ตรงข้าม Gate 8 อาคารผู้โดยสารขาออก ภายใต้สัญญาเช่าพื้นที่จากทอท. 7 ปี และสามารถต่อสัญญาได้ ใช้เงินลงทุนกว่า 30 ล้านบาท
ขณะที่จำนวนห้องพักมีขนาด 20 ตารางเมตร พร้อมห้องน้ำในตัว เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ราคาขายห้องพัก 2 ชั่วโมงแรก ราคา 1,200 บาท ชั่วโมงต่อไป 700 บาท ถ้าใช้บริการ 24 ชั่วโมงอยู่ที่ 14,000 บาท โดยลูกค้าสามารถเข้าพักได้ 2 คนต่อห้อง ทั้งแบบรายชั่วโมงและรายวัน เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่มีเที่ยวบินเดินทางช่วงเช้า ซึ่งเป็นสลีพ บ็อกซ์ แห่งแรกในสนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากที่เปิดให้บริการสลีพ บ็อกซ์ ที่สนามบินดอนเมือง
พร้อมกันนี้ยังมีอีก 2 โครงการบริเวณอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเปิดใช้อาคารมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 ด้วยการเปิดให้บริการมิราเคิลเลาจน์ บนพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร และ Miracle Transit Hotel (เดย์รูม) 35 ห้อง ใช้เงินลงทุนรวมกว่า 200 ล้านบาท แต่ปัญหาคือ มีสายการบินไปใช้บริเวณ SAT-1 น้อยมากซึ่งปัญหาดังกล่าว ได้มีการทำหนังสือไปถึงทอท.เพื่อขอให้พิจารณาหยุดการเรียกเก็บเงิน พร้อมๆ กับเตรียมรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไป