วันที่ 5 ส.ค.2567 ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานถึงการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้พิจารณาวาระการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้ได้รับการเเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด
ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวเป็นการตั้งกมธ. ขึ้นใหม่ เพื่อทำงานต่อเนื่องจาก กมธ.ชุดเดิมซึ่งเป็นสว.ชุดก่อนหน้าและต้องหมดวาระเนื่องจากทำงานครบ 5 ปี โดยตามกระบวนการต้องพิจารณาชื่อของอัยการสูงสุดตามที่คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เสนอชื่อ นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ รองอัยการสูงสุด ให้ดำรงตำแหน่ง
อย่างไรก็ดีในการพิจารณาของสว.มีความเห็นให้ส่งคืนชื่อนายไพรัช คืนให้ ก.อ. ทบทวนและเสนอกลับมาใหม่ โดยสว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ อาทิ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. และนางอังคณา นีละไพจิตร สว. อภิปรายให้สว.ส่งคืนรายชื่อดังกล่าวเพื่อไม่ให้ภาพการทำงานของสว.ปัจจุบันเป็นการทำงานที่รับมรดกจากสว.ชุดเก่า อีกทั้งเพื่อทำให้เกิดความโปร่งใส
โดยน.ส.นันทนา อภิปรายว่า เข้าใจว่าบุคคลที่ถูกเสนอชื่อนั้นไม่มีความอาวุโสสูงสุด จึงอยากให้ส่งชื่อเพื่อให้ยืนยันกลับมาอีกครั้ง อีกทั้งการเห็นชอบบุคคลเข้าสู่ตำแหน่ง ควรทำให้เกิดความโปร่งใส และตอบคำถามกับประชาชนได้ว่า เป็นผลงานของ สว.ปัจจุบันตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ได้รับมมรดกของสว.ชุดใดมา ดังนั้นขอให้เริ่มต้น จากการตรจสอบที่เข้มข้นจากมธ.ใหม่ ไม่รับข้อมูลที่เป็นของเดิม ที่กมธ.ทำเป็นการเป็นลับ และไม่รู้การตรวจสอบเป็นอย่างไร
ขณะที่ นางอังคณา อภิปรายสนับสนุนให้ส่งรายชื่อหน่วยงานเป็นผู้พิจารณาและเสนอให้สว.ใหม่ โดยไม่ควรคำนึงถึงเวลาเร่งรีบที่ต้องให้ได้บุคคลในเดือนต.ค. นี้ อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้ สว.ชุดก่อนมีมติไม่เห็นชอบตุลาการที่เสนอชื่อจาก กรรมการตุลาการศาลปกครอง ในช่วงเวลาเดือนเศษก่อนหมดวาระ เมื่อเวลาหน่วยงานเสนอมาใหม่ ถูกปฏิเสธจากวุฒิสภา เชื่อว่าหน่วยงานไม่กล้าเสนอคนเดิม ดังนั้นตนสนับสนุนให้ส่งคืนรายชื่อให้หน่วยงานและเสนอกลับเข้ามาใหม่
อย่างไรก็ดีมีสว.ที่แสดงความเห็นคัดค้าน อาทิ พล.ต.ท. บุญจันทร์ นวลสาย สว. นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม สว. อภิปรายเห็นแย้งว่า การแต่งตั้งอัยการสูงสุด และศาลปกครองสูงสุด หากถอยแล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่ อาจจะไม่ทันต่อการได้ตำแหน่งดังกล่าวในเดือน ต.ค.นี้ ดังนั้นควรพิจารณาเสนอชื่อกมธ.เพื่อทำหน้าที่กลั่นกรองและพิจารณา
ทั้งนี้นายบุญส่ง ยืนยันให้พิจารณาเสนอชื่อ กมธ.เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ และขอให้มีการเสนอชื่อ ทำให้ที่ประชุมจึงเข้าสู่กระบวนการเสนอชื่อ กมธ. แต่พบว่ามีการรเสนอชื่อ สว. เป็นกมธ.ตรวจสอบประวัติ เกินกว่า 15 คนทำให้ที่ประชุมต้องใช้การลงมติผ่านบัตรลงคะแนนเพื่อตัดสิน ทั้งนี้เป็นน่าสังเกตว่ามีการเสนอรายชื่อแบบเป็นกลุ่มมก้อน โดยนายนิรัตน์ อยู่ภักดี สว. เสนอรายชื่อกมธ. 15 คน โดยพบว่าเป็นสัดส่วนที่เตรียมมาแล้วล่วงหน้าและเป็นกลุ่มก้อนชัดเจน
ทั้งนี้ นายวีระพันธ์ สุวรรณนามัย สว. หารือว่า การเสนอชื่อสว.ให้เป็นกมธ.ดังกล่าวถือเป็นภาพที่สำคัญ หากภาพออกไป 15 คนเรียงกันที่เสนอไป ประชาชนที่ดูในขณะนี้ข้อสงสัยและไม่มั่นใจได้ ขอหารือเสนอตนเองก่อนที่จะเสนอเป็นชุด เพื่อให้เกิดความหลากหลายไม่เป็นกลุ่มเดียวเกินไป
ต่อจากนั้น นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. อภิปรายว่า ตนเสนอชื่อตนเองก่อนหน้านี้ จำได้หรือไม่ ส่วนการเสนอเป็นชุดใหญ่นั้นมาทีหลัง หากเป็นแบบนี้ภาพที่ออกไป คือ สภารีโมท สภาใบสั่ง ซึ่งตนอายและไม่ยอมจะสู้ให้ถึงสว่าง ทั้งนี้การตั้งองค์กรอิสระถือเป็นหัวใจของวุฒิสภา
“ขอให้ท่านต้องตอบให้รู้ว่าจะต้องขออนุญาตจากใครที่เป็นเจ้าของสภา ที่เสนอมาเป็นชุดแสดงว่าอย่างไร ที่เสนอรวดเดียว โดยไม่ฟังว่าคนที่ต้องการเป็น อย่างผมนั้นถูกมองข้าม หากเสนอแบบนี้จะเกิดปัญหาเรื่อยๆ” นพ.เปรมศักดิ์ อภิปราย
นายบุญส่ง ชี้แจงว่า ไม่ห้ามเสนอตนเอง เป็นสิทธิสว. ใครจะได้เป็น ยึดตามมติของสว. อย่าลืมว่าเป็นสมาชิกปวงชนชาวไทยที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองผลแล้ว
ขณะที่นายนรเศรษฐ์ ปรัชญาก สว. เสนอรายชื่อ สว.ในกลุ่มพันธุ์ใหม่ 10 คน อาทิ นายประภาส ปิ่นตบแต่ง นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย นางอังคณา นีลไพจิตร น.ส.นันทนา นันทวโรภาส นายวีรยุทธ์ สร้อยทอง นางประทุม วงศ์สวัสดิ์ ให้เป็นกมธ.ด้วย
ทางด้านพล.ต.ท.วันไชย เอกพรพิชญ์ สว. อภิปรายว่า สว.เป็นผู้ตรวจสอบรัฐบาล ราชการแผ่นดิน การปฏิบัติหน้าที่สว. ประชาชนติดตามทุกจังหวัด ขอให้เป็นไปตามบทบาทของกฎหมาย รู้เจตนาอยู่แล้ว ทุกอย่างสังคมเห็นเจตนา ขอให้เป็นไปด้วยความโปร่งใสและถูกต้องของบ้านเมือง
ทั้งนี้หลังจากการเสนอชื่อที่พบว่ามีการเสนอชื่อ รวม 34 คนซึ่งเป็นจำนวนเกินกว่าจำนวนที่กำหนดทำให้ต้องใช้การตัดสินด้วยการออกบัตรลงคะแนน และด้วยระยะเวลาเตรียมบัตรออกเสียงต้องใช้เวลาทำให้นายบุญส่งแจ้งให้พักการประชุมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการก่อนออกเสียงลงคะแนนเพื่อตัดสิน.