ที่ผ่านๆ มาในการสำรวจความคิดเห็น หรือการทำโพลล์ ของบุคคลสำคัญด้านต่างๆ เช่น ผู้นำทางการเมือง หรือบรรดาผู้สมัครรับเลือกตั้งในสนามเลือกตั้งต่างๆ ก็มักจะสำรวจโพลล์ในด้าน “คะแนนนิยม” เป็นส่วนใหญ่ว่า ได้รับคะแนนนิยม มีผู้คนชื่นชอบมากกว่ากัน และชื่นชอบมากกว่ากันเพียงไหน
โดยในสถานการณ์ของการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา การสำรวจโพลล์ เพื่อเปรียบเทียบวัดคะแนนนิยมของบรรดาผู้สมัครรับเลือกตั้งในสนามต่างๆ ตั้งแต่สนามระดับท้องถิ่น ไปจนถึงระดับชาติ ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะได้เห็นทิศทางแนวโน้มในการสู้ศึกเลือกตั้งว่าจะเป็นไปอย่างไร เพื่อที่จะแก้ไข ปรับปรุง หรือพัฒนาให้ดีขึ้น อันนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งเป็นจุดหมายปลายทาง
ยกตัวอย่างในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 (พ.ศ. 2567) ที่สองผู้สมัครรับเลือกตั้ง ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สมัครฯจากพรรครีพับลิกัน กับนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สมัคฯ จากพรรคเดโมแครต กำลังรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งกันอย่างเข้มข้นดุเดือด บรรดาสำนักโพลล์ต่างๆ ก็สำรวจคะแนนนิยมของผู้สมัครทั้งสองกันแทบจะรายสัปดาห์ เพื่อให้ทราบถึงทิศทางแนวโน้มว่า ใครกำลังมีคะแนนนิยมเหนือใคร
อย่างในการสำรวจคะแนนนิยมโดยรวมของนายทรัมป์กับนางแฮร์ริส ครั้งล่าสุด คือ เมื่อช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคมที่เพิ่งผ่านพ้นมา โดยสำนักโพลล์ต่างๆ ทั้งสองคนก็มีคะแนนนิยมผลัดกัน ผลัดกันตาม ในแต่ละสำนักโพลล์ อาทิเช่น การสำรวจของ “ราสมุสเซน” ให้นายทรัมป์ เหนือกว่านางแฮร์ริส ที่ร้อยละ 49 ต่อ 44
ทว่า ในการสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ส ให้นางแฮร์ริส เหนืกว่านายทรัมป์ ที่ร้อยละ 43 ต่อ 42 เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ในการหาค่าเฉลี่ยของ “เรียลเคลียร์โพลิทิกส์” หรือ “อาร์ซีพี” (RCP : Real Clear Politics) ที่นำผลการสำรวจโพลล์ของสำนักต่างๆ ร่วม 10 สำนักโพลล์ มาหาค่าเฉลี่ยแล้ว ปรากฏว่า นายทรัมป์ เหนือกว่านางแฮร์ริส ที่ร้อยละ 47.7 ต่อ 46.5
พร้อมกันนี้ ทาง “เรียลเคลียร์โพลิทิกส์” ยังระบุด้วยว่า ทิศทางแนวโน้มของคะแนนนิยมโดยรวมของนายทรัมป์ดีขึ้นกว่าการสำรวจครั้งก่อน เพราะมีคะแนนทิ้งห่างนางแฮร์ริสเพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งที่แล้ว 1.2 จุด
ก็เป็นการบ้านของทางพรรคเดโมแครต ต้นสังกัดของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส กลับไปแก้โจทย์ ว่ามีปัญหาอะไรตรงไหน พร้อมกับต้องเร่งแก้ให้ได้ ก่อนจะเปิดคูหาให้ประชาชนชาวอเมริกัน ได้กาบัตรเลือกตั้งในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน หรือเหลือเวลาอีกเพียง 3 เดือนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงคะแนนนิยมในพื้นที่รัฐที่เป็นรัฐสำคัญ คือ เป็นรัฐสมรภูมิ หรือแบทเทิลสเตท หรือที่หลายคนเรียกกันว่า รัฐสวิงสเตท ที่คะแนนเลือกตั้ง สามารถพลิกผันไปมาได้ แถมยังมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างสองผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วย ซึ่งมีอยู่ 7 รัฐ ปรากฏว่า รองประธานาธิบดีหญิงแฮร์ริส มีคะแนนนิยมเหนืออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถึง 4 รัฐด้วยกัน ได้แก่ มิชิแกน แอริโซนา วิสคอนซิน และเนวาดา
โดยรัฐมิชิแกนนั้น รองประธานาธิบดีแฮร์ริส มีคะแนนนิยมนำหน้าถึงร้อยละ 11 เลยทีเดียว ส่วนอีก 3 รัฐที่เหลือ รองประธานาธิบดีแฮร์ริส มีคะแนนนิยมนำหน้าเหนืออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ร้อยละ 2
ขณะที่ อีก 3 รัฐสวิงสเตทที่เหลือนั้น ปรากฏว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มีคะแนนนิยมเหนือกว่ารองประธานาธิบดีแฮร์ริส 2 รัฐ ได้แก่ เพนซิลเวเนีย อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เหนือกว่าที่ร้อยละ 4 นอร์ทแคโรไลนา นายทรัมป์ เหนือกว่าที่ร้อยละ 2 ส่วนที่รัฐจอร์เจียนั้น ปรากฏว่า ทั้งอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ และรองประธานาธิบดีแฮร์ริส มีคะแนนนิยมเท่ากันที่ร้อยละ 47
ผลกาสำรวจคะแนนนิยมข้างต้นที่ออกมา ก็ถือเป็นการบ้านโจทย์ใหญ่ของทางพรรครีพับลิกัน สำหรับการแก้ไข เพื่อเร่งพลิกฟื้นคะแนนนิยมของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ในฐานะผู้สมัครฯ ของทางพรรคฯ ในการสู้ศึกเลือกตั้งของพื้นที่รัฐสวิงสเตท
นอกจากนี้ ในการสำรวจโพลล์ ปรากฏว่า มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกันเกี่ยวกับความ “ชอบ – ไม่ชอบ” ของสองผู้สมัครฯ โดยสำนักโพลล์ต่างๆ อีกต่างหากด้วย ซึ่งการสำรวจครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่เพิ่งผ่านพ้นไปเช่นกัน ซึ่งมีผลปรากฏว่า
โดยในการสำรวจของ “เรดฟิลด์ แอนด์ วิลสัน สตราเทจีส์” พบว่า มีคนไม่ชอบรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ที่ร้อยละ 41 ส่วนผู้ที่ชื่นชอบมีจำนวนร้อยละ 42 เรียกว่า สูสีก้ำกึ่งระหว่างชอบกับไม่ชอบ
อย่างไรก็ตาม ในการสำรวจของ “อิปซอส” ปรากฏว่า มีผู้ไม่ชื่นชอบรองประธานาธิบดีแฮร์ริส มีจำนวนมากกว่าที่ร้อยละ 48 ส่วนผู้ที่ชื่นชอบมีจำนวนที่ร้อยละ 39
เช่นเดียวกับการสำรวจของ “แฮร์ริสเอ็กซ์” ปรากฏว่า ผู้ที่ไม่ชื่นชอบนางแฮร์ริส มีจำนวนมากถึงร้อยละ 57 หรือมากกว่ากึ่งหนึ่ง สวนทางแตกต่างกับผู้ที่ชื่นชอบมีจำนวนเพียงร้อยละ 39 เท่านั้น และเป็นไปในทิศทางเดียวกับ การสำรวจของ “ยูกอฟ” ที่พบว่า ร้อยละ 51 เป็นตัวเลขของผู้ที่ไม่ชื่นชอบรองประธานาธิบดีแฮร์ริส โดยมีผู้ที่ชื่นชอบเพียงร้อยละ 39 เท่านั้นเช่นกัน
และเมื่อเฉลี่ยตัวเลขโดยรวมของสำนักโพลล์ต่างๆ แล้วปรากฏว่า รองประธานาธิบดีแฮร์ริส มีผู้ชื่นชอบเพียงร้อยละ 39.6 ส่วนผู้ที่ไม่ชื่นชอบเฉลี่ยแล้วมีจำนวนมากถึงร้อยละ 51.1 หรือมากกว่ากึ่งหนึ่ง ทิ้งห่างระหว่างตัวเลขของผู้ที่ชื่นชอบกับไม่ชื่นชอบจำนวนถึง 11.5 จุด
ในส่วนทางฝั่งของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ห้วงเวลาเดียวกันนั้น ก็ได้มีสำรวจจากสำนักโพลล์หลายสำนักเช่นเดียวกัน เช่น ยูกอฟ ได้ผลออกมาว่า มีผู้ไม่ชื่นชอบที่ร้อยละ 53 ส่วนผู้ที่ชื่นชอบมีจำนวนร้อยละ 46 โดยทางยูกอฟ ยังได้สำรวจซ้ำกับอีกกลุ่มตัวอย่างหนึ่ง พบว่า ผู้ที่ไม่ชื่นชอบนายทรัมป์มีจำนวนร้อยละ 53 ผู้ที่ชื่นชอบมีจำนวนร้อยละ44 ส่วนในการสำรวจของ “ซิวิคเอส” พบผู้ที่ไม่ชื่นชอบนายทรัมป์มีจำนวนร้อยละ 56 ขณะที่ผู้ที่ชื่นชอบมีจำนวนร้อยละ 42 เป็นต้น
เมื่อนำบรรดาตัวเลขข้างต้นมาหาค่าเฉลี่ย ปรากฏว่า ผู้ที่ไม่ชื่นชอบนายทรัมป์ มีจำนวนที่ร้อยละ 51.9 ส่วนผู้ที่ชื่นชอบมีจำนวนร้อยละ 43.3 ทิ้งห่างช่องว่างที่ 8.6 จุด ซึ่งถือว่า ถึงแม้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จะมีคนเกลียดเป็นจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้ที่ชื่นชอบจำนวนมิใช่น้อยเหมือนกัน
ทว่า ตัวเลขในการสำรวจที่ออกมาของทั้งสองฝ่าย ล้วนต่างเป็นการบ้านโจทย์ใหญ่ต่อทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ให้เร่งแก้ไขในช่วงเวลาที่เหลือ เพื่อให้ได้ผล คือ ชัยชนะในการเลือกตั้งเป็นจุดหมายปลายทางต่อไป