ความวุ่นวายที่ “พรรคพลังประชารัฐ” ดูจะโยงใย และลุกลามไปที่ “บ้านป่ารอยต่อฯ” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง !

แม้จะดูเหมือนเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นของฝั่ง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค ออกอาการไม่พอใจต่อการเคลื่อนไหวของ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” อดีตผู้ช่วย รมว.ยุติธรรม ในฐานะสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และทำท่าว่าจะบานปลาย เมื่อวันที่ 30 ก.ค.67 ที่ผ่านมา มีการประชุมกันของแกนนำพรรค เพื่อหารือเตรียมหามาตรการ  “ลงดาบ” กับ สามารถ ด้วยข้อหาให้ “พรรควุ่นวาย” !

โดย “พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย”  โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ออกมา เปิดเผยว่า กรณีที่มีการนำเสนอข่าวไลน์หลุดของกลุ่ม สส.พปชร. ตำหนิอดีตผู้สมัครทำพรรคป่วน และแสดงความเห็นขัดแย้งต่อการทำงานรัฐบาลในทางลบ ซึ่งที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค และ สส.พลังประชารัฐ ได้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการกัน เพื่อหาทางออก

“โดยเห็นว่าการให้สัมภาษณ์ของนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ซึ่งเป็นสมาชิกพรรค ในช่วงที่ผ่านมา ที่ประชุมมีความรู้สึกกังวลต่อความเข้าใจในบทบาทของพรรคพลังประชารัฐ จึงอยากให้หัวหน้าพรรคและท่านกรรมการพรรคได้รับทราบ”

แน่นอนว่า เรื่องนี้แกนนำพรรคที่ไม่พอใจต่อการเคลื่อนไหวของสามารถ ต้องการให้ บิ๊กป้อม มอบดาบอาญาสิทธิ์ หรือจัดการสามารถ ที่ถูกมองว่าเป็น “เด็กลุงป้อม” ทางใดทางหนึ่ง เพราะลึกๆแล้วความไม่พอใจของแกนนำที่นัดถกกันครั้งนี้  ดูจะสอดรับกับรายงานข่าวที่ระบุว่า เพราะสามารถ ไปดึง “วัน อยู่บำรุง” อดีตสส.และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่เพิ่ง “เปิดศึก” กับ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เรียกว่าไม่ได้จากกันด้วยดี

และไม่เพียงเท่านั้นเมื่อวัน มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคลุงป้อมแล้ว ต่อมา “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ตั้งโต๊ะแถลงข่าวยิงหมัดตรงไปที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ เท่ากับว่า พรรคลุงป้อม เปิดบ้านรับ “ศัตรู” ของทักษิณ นายใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ทำให้สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เกิดความเป็นห่วงว่าจะเกิด “เกาเหลา” กันเองระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพลังประชารัฐ ซึ่งต่างอยู่ร่วมรัฐบาลด้วยกัน

แต่อย่างไรก็ดี สำหรับพรรคพลังประชารัฐ นั้นในความเป็นจริงแล้ว หลายคนรู้ดีว่าในพรรคมีการแบ่งขั้วออกเป็นสายที่ขึ้นตรงกับ ลุงป้อม ส่วนอีกสายขึ้นตรงกับ ร.อ.ธรรมนัส ในท่ามกลางข่าวลือที่สะพัดมาหลายต่อหลายครั้งว่า ในการเลือกตั้งรอบหน้า  พรรคพลังประชารัฐ น่าจะแตกออกเป็นสองสาย ซึ่งสายร.อ.ธรรมนัส อาจขยับไปอยู่กับทักษิณ

ทว่าสายข่าวอีกด้านหนึ่ง ยังยืนยันว่า ร.อ.ธรรมนัส เคยเป็นลูกน้องเก่าทักษิณ จึงแสดงความเคารพรักจึงไม่แปลก ส่วนกับบิ๊กป้อม ก็ไม่ได้มีปัญหาต่อกัน  และการที่ร.อ.ธรรมนัส หากคิดจะไปอยู่ที่พรรคเพื่อไทย จริง ย่อมเป็นความเสี่ยงที่ต้องลุ้นว่าจะเจอกับแรงเสียดทานจากคนในพรรคเพื่อไทย ตามมาหรือไม่ และจะได้เป็น “เลขาฯพรรค” หรือไม่

แต่สำหรับบิ๊กป้อมกับทักษิณ นั้น ดูเหมือนว่าต่างมีความบาดหมางที่รอวันสะสาง เพราะหากย้อนกลับไป การที่กลุ่ม 40 สว. ที่เข้าชื่อยื่นเรื่องถอดถอน “เศรษฐา ทวีสิน” ออกจากนายกฯกรณีตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรี ทั้งที่รู้ว่าขาดคุณสมบัติ ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นสว. ที่อยู่ในสายของบิ๊กป้อม แทบทั้งสิ้น เท่ากับว่าบิ๊กป้อมส่งคนมาสอยนายกฯที่ทักษิณ จงใจส่งเข้ามานั่งนายกฯ และตลอดเกือบ 1ปีที่ของการร่วมรัฐบาลที่ผ่านมาบิ๊กป้อมก็ไม่เคยไปปรากฎตัวในงานเลี้ยง พรรคร่วมรัฐบาลด้วยซ้ำ แม้นัดล่าสุดพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นเจ้าภาพก็ตาม

ปัญหาความวุ่นวายอันสืบเนื่องมาจากความไม่พอใจระหว่างสามารถกับแกนนำในพรรค โดยเฉพาะยังทำให้ระดับเลขาฯพรรคอย่างร.อ.ธรรมนัส ต้องออกโรงมาปรามนั้น อาจเป็นเพียงแค่ ส่วนหนึ่งของสถานการณ์ ภายในพรรคที่บิ๊กป้อม นั่งอยู่บนความยุ่งยาก และวุ่นวาย ทั้งที่อีกด้านหนึ่ง หัวหน้าพรรคที่มีสถานะเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” น่าจะต้องเตรียมตัวได้ลุ้นเข้าชิงเก้าอี้นายกฯ หากเศรษฐา ไม่รอดจากคดีถอดถอนในวันที่ 14 ส.ค.นี้ขึ้นมาจริงๆ