คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวิวัฒน์  เศรษฐช่วย

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าระยะเวลาเพียง 7 วันหรือแค่หนึ่งสัปดาห์ นับตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม 2024  ที่ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ออกมายอมถอนตัวและประกาศรับรองให้ “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส” เข้าเสียบรับเป็นทายาททางการเมืองแทน จนได้สร้างความตื่นเต้นให้แก่คนอเมริกันอย่างท่วมท้น

และยังไม่น่าเชื่ออีกด้วยว่า เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น รองประธานาธิบดีแฮร์ริสก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองบทใหม่ด้านการหาเงินรณรงค์หาเสียงได้มากถึง 200 ล้านดอลลาร์ โดยเงินบริจาค 81 ล้านดอลลาร์แรกเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง และยอดบริจาคถึง 66% มาจากผู้ที่ควักกระเป๋าบริจาคเป็นครั้งแรกอีกด้วย!!!

นอกจากนั้นก็ยังมีพ่อยกแม่ยกผู้บริจาคกระเป๋าหนักเข้าขั้นระดับมหาเศรษฐี ณ“ซิลิคอนแวลลีย์” (Silicon Valley) แหล่งผลิตและบ่มเพาะนวัตกรรมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตามติดมาด้วยผู้ที่อยู่ในแวดวงบันเทิงในย่านฮอลลีวูด ซึ่งก่อนหน้านี้สงวนท่าทีชั่วคราวไม่ยอมบริจาคเงินสนับสนุนให้แก่ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แต่ขณะนี้หันกลับมาบริจาคเงินก้อนโตให้กับรองประธานาธิบดีแฮร์ริส เหมือนเดิมแล้ว

และยังมี “มหาเศรษฐีรีด ฮอฟฟ์แมน” ผู้ก่อตั้ง Linkedin ออกมาควักกระเป๋าบริจาคเพิ่มขึ้นสองเท่าตัวเป็นเงินกว่าเจ็ดล้านดอลลาร์ ให้รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส เอาไว้ใช้หาเสียงอีกด้วย

อนึ่งหากจะลองเปรียบเทียบเงินสดในกองทุนหาเสียงระหว่าง ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาปรากฏว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับยอดเงินบริจาคอยู่ที่ 63.8 ล้านดอลลาร์  ส่วนประธานาธิบดีทรัมป์มีเงินสดอยู่ในบัญชีที่ 128.1 ล้านดอลลาร์

และขณะที่ขวัญและกำลังใจทีมงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เกิดหวั่นไหวตกต่ำลงหลังจากที่เจ้านายของพวกเขาต้องประสบพบเจอกับความล้มเหลวอย่างมหันต์จากการดีเบต เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2024 และเพื่อเป็นการปลุกขวัญและกำลังใจให้แก่บรรดาทีมงานเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2024  รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ตัดสินใจเดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ของประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่รัฐเดลาแวร์

โดยเธอได้กล่าวสุนทรพจน์แก่บรรดาทีมงานว่า “ขณะที่ดิฉันอยู่ในตำแหน่งอัยการของรัฐแคลิฟอร์เนีย ดิฉันรู้เป็นอย่างดีว่าโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นคนอย่างไร ทั้งด้านพฤติกรรมส่วนตัวและด้านธุรกิจ ดังนั้นดิฉันพร้อมแล้วที่จะเปิดโปงทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของเขาให้แก่สาธารณชนได้รับทราบในตอนที่ดิฉันออกหาเสียง” เธอได้กล่าวยกตัวอย่าง อาทิ ที่ผ่านมาโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดมหาวิทยาลัยทรัมป์ อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แถมยังใช้วิธีการตลาดอันแยบยลหลอกลวงและโกงนักศึกษา จนที่สุดเขาต้องถูกปรับเป็นเงิน 25 ล้านดอลลาร์ และยังมีเรื่องที่เขาโกงภาษีต่อรัฐบาลอีกด้วย!!

และภายหลังจากที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริส กล่าวจบ นักจัดรายการของสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็นได้ขอสัมภาษณ์ “ดร.ดอริส กู้ดวิน” นักเขียนชื่อดัง ผู้ที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติประธานาธิบดีของสหรัฐฯ โดยเธอให้ความคิดเห็นหลังจากที่เธอได้รับฟังสุนทรพจน์สั้นๆของรองประธานาธิบดีแฮร์ริสในทำนองที่ว่า “ดิฉันขอสรุปว่า สหรัฐฯกำลังจะมีประธานาธิบดีหญิงคนแรกแล้ว ซึ่งนั่นก็คือ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส”

ณ วันที่ 28 กรกฎาคม 2024นี้ นับเป็นหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริสได้รับการถ่ายโอนอำนาจจาก ประธานาธิบดีโจ ไบเดนปรากฏว่า สำนักหยั่งเสียงชื่อดังระดับประเทศถึงสี่แห่งออกมารายงานว่า ขณะนี้รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส มีคะแนนนิยมแซงขึ้นหน้าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ไปแล้ว

โดยสำนักหยั่งเสียงแห่งแรกได้แก่ “สำนักรอยเตอร์ส”ร่วมกับ “สำนัก Ipsos” รายงานเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2024 ว่า คะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส แซงขึ้นหน้าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ 44% ต่อ 42% สำนักหยั่งเสียงMarist ที่ติดอยู่ในอันดับหกของบรรดาสำนักหยั่งเสียงทั้งหมด 277 แห่ง เป็นสำนักหยั่งเสียงที่สองที่ทำการหยั่งเสียงให้กับ “National Public Radio” และสำนักข่าวช่องพีบีเอส  เปิดเผยออกมาว่า ขณะนี้คะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส แซงขึ้นหน้าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไปแล้วที่ 50% ต่อ 49%

ส่วนสำนักหยั่งเสียงที่สาม ซึ่งอยู่ในระดับแนวหน้าอันดับที่ 17 นั่นก็คือ “สำนักหยั่งเสียง Ipsos” ที่ทำการหยั่งเสียงให้แก่ สถานีโทรทัศน์ช่องยักษ์ใหญ่เอบีซี เปิดเผยในทำนองเดียวกันว่าคะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส แซงขึ้นหน้าประธานาธิบดีทรัมป์ 42% ต่อ 40%

และสำนักหยั่งเสียง Bendixen กับสำนักหยั่งเสียง Amandi International ที่หยั่งเสียงให้กับสถานีโทรทัศน์ของสำนักข่าวเอบีซี ก็เปิดเผยเช่นเดียวกันว่าคะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส แซงขึ้นหน้าไปที่ 42% ต่อ 41%

อย่างไรก็ตามยังมีปรากฏการณ์ที่ดีเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเกินความคาดหมายในไตรมาสที่สองถึง 2.8% ที่ถือเป็นการหักปากกาเซียนทำลายการคาดหมายของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายให้หักไปหลายๆด้ามอีกด้วย

อนึ่งความสัมพันธ์พิเศษส่วนตัวระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส นับว่าไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน เพราะมองๆไปแล้วเปรียบเสมือนเขาทั้งสองเป็นพ่อเป็นลูกกัน ทั้งนี้อาจจะสืบเนื่องมาจาก รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส เป็นเพื่อนสนิทของบุตรชายคนโต ซึ่งเป็นบุตรที่รักของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคมะเร็ง เมื่อปีค.ศ. 2015 โดยขณะนั้นลูกชายของรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดของรัฐเดลาแวร์ และ กมลา แฮร์ริส ก็ดำรงอยู่ในตำแหน่งอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนีย นั่นเอง

ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เลือกกมลา แฮร์ริส เข้ามาในตำแหน่งรองประธานาธิบดี เพื่อเป็นความทรงจำที่ดีถึงการสูญเสียลูกชายคนโปรดของเขาก็เป็นไปได้!!

ในช่วงเกือบสี่ปีที่ผ่านมานี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถ่ายทอดทั้งทางด้านประสบการณ์การบริหารประเทศ และ ด้านศิลปะการครองใจผู้คนให้แก่ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส แบบหมดไส้หมดพุงเลยทีเดียว

นอกจากนั้นการถ่ายโอนจำนวนเสียงสนับสนุนทั้งหมดภายในค่ายพรรคเดโมแครตที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งสมมาจากชัยชนะการเลือกตั้งขั้นต้น เขาก็ยังได้ถ่ายโอนให้แก่รองประธานาธิบดีแฮร์ริส จนหมดสิ้น ทำให้เธอได้รับเสียงเพียงพอในการเข้าไปเป็นตัวแทนของพรรคอีกด้วย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่เธออย่างที่ไม่มีนักการเมืองในพรรคเดโมแครตคนใดสามารถจะเสนอหน้าออกมาท้าทายเธอได้เลย

อย่างไรก็ตามขณะที่คะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส กำลังมาแรงแซงทางโค้ง แน่นอนว่าย่อมมีผลทำให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ต้องพบกับความรู้สึกอึดอัดใจ ยกตัวอย่าง เช่น แผนการปะทะฝีปากเดิมจะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 10 กันยายน 2024นี้ แต่ตอนนี้ประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มเปลี่ยนท่าทีต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการดีเบต สืบเนื่องมาจากรองประธานาธิบดีแฮร์ริส เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการโต้วาทีที่หาตัวจับยาก ที่เธอมีความแพรวพราวทั้งไหวพริบและโวหาร และหากประธานาธิบดีทรัมป์เกิดแพ้การดีเบตขึ้นมา ก็เป็นการยากที่จะแก้ไขได้ เข้าทำนองเดียวกันกับการพ่ายแพ้ดีเบตของประธานาธิบดีโจ ไบเดน

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าขณะนี้คะแนนนิยมของ “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส” กำลังทยอยพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แถมบรรดาแกนนำของค่ายพรรคเดโมแครตต่างก็ร่วมใจผนึกพลังออกมาสนับสนุน ตามติดมาด้วยความพร้อมในเม็ดเงินบริจาคที่หลั่งไหลมาอย่างท่วมท้น จนสำนักหยั่งเสียงระดับประเทศพากันออกมาเปิดเผยว่า เธอกำลังฮอตฮิตมีคะแนนนิยมนำแซงขึ้นหน้าไปแล้ว และในการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตที่จะมีขึ้นในกลางเดือนสิงหาคมนี้ ก็น่าจะเป็นตัวชี้วัดที่เด่นชัดถึงอนาคตการก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวว่า เธอจะมีโอกาสได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสุภาพสตรีคนแรกของสหรัฐอเมริกาหรือไม่?ละครับ