ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“ท่ามกลางความมืดหม่นแห่งโลกของความเป็นจริง ยังมีมนุษย์อีกบางผู้บางคนที่พยายามจะตะเกียกตะกายว่ายชีวิตฝ่าคลื่นลมของความเลวร้ายเจ็บปวด เพื่อผ่านข้ามทะลุไปถึงฝั่งฝัน มันเป็นทั้งปฏิกิริยา เป็นทั้งปรากฏการณ์ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาโดยหวังจะให้ ความเป็นตัวตนแห่งตนได้เลี่ยงพ้นจากการต้องยอมจำนน..ต่อความพ่ายแพ้ผิดหวังอันยับเยิน..

ย่อมไม่มีการกระทำ หรือ ย่อมไม่มีอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ที่สามารถจะทำให้ใครคนใดคนหนึ่ง หลุดพ้นไปจากความทุกข์ทรมานของชีวิตได้..มันเป็นดั่งปรากฏการณ์อันซ้ำซากของธรรมชาติแห่งชีวิต ซึ่งมีเพียงการใช้ชีวิตของคนทั้งหมด ทุ่มเทลงไปสู่การกระทำที่มีความหมายและด้วยจิตใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมุ่งมั่นเท่านั้น จึงจะทำให้ ..เรา..สามารถอดทนต่อความเจ็บปวด ความคับข้องใจ ความกังวลใจ ความผิดหวังที่ไม่มีหนทางหลีกเลี่ยง หรือแม้แต่ความเลวร้าย อันเกิดจากการชั่วช้าของตนเองก็ตาม..เนื่องเพราะสิ่งทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้คือ..ส่วนประกอบอันแท้จริงของเหล่ามนุษยชาติ..ซึ่งไม่มีใครหรือผู้ใดจะเลือกได้ว่า.. “จะเอาสิ่งนั้น หรือจะเอาสิ่งนี้”...”

ทั้งหมดนั้นคือ ปฐมบททางสำนึกคิดที่ได้รับจาก “ฝั่งแสงจันทร์” นวนิยายอันเป็นงานประพันธ์ของนักเขียนผู้มากฝีมือ “ศิลปินแห่งชาติ”...ประชาคม ลุนาชัย../ ที่ได้สะท้อนภาพให้เห็นถึงแก่นแกนชีวิตบุคคลกลุ่มหนึ่ง อันเป็นตัวละครที่ถูก “ลบลืม..ทิ้งขว้าง” ไว้กับเงื่อนไขแห่งชะตากรรมที่ขมขื่นและไร้หวังในศรัทธาของชีวิต..ณ “หมู่บ้านริมฝั่ง” ซึ่งชีวิตทุกๆชีวิตล้วนผูกพันกับผืนน้ำและแผ่นดินอันเป็นผลิตผลที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ

บางชีวิตเป็นคนดั้งเดิมของพื้นถิ่น ..แต่บางชีวิตเป็นคนจรพลัดหลงเข้ามาอิงอาศัย ด้วยหนทางแห่งการพอดิ้นรนแสวงหาเพื่อความอยู่รอดของปากท้อง..

ในอาณาบริเวณ ของ “บ้านแห่งความหวังของชีวิต” นี้..หลายๆขณะพวกเขาเป็นเหมือน  “คนแปลกหน้า” ที่แปลกหน้าต่อที่อยู่อาศัย แปลกหน้าต่อสถานะของตนเอง และ แปลกหน้าต่อ สภาวะของโลกกว้าง..ที่ได้ร่วมชายคาแห่งการมีชีวิตอยู่..

“สถานภาพของคนจรที่เป็นอยู่ ยิ่งกดทับความรู้สึกที่บอกตนเองไม่ถูกว่า.. “เหงาหรืออ้างว้าง..เจ็บปวดหรืออับอาย”..จึงได้แต่สรุปในใจ ด้วยความชิงชังในหลายสิ่งหลายอย่างว่า.. “โลกนี้ไม่ใช่ของผม ผมเป็นเพียงคนแปลกหน้า ที่พลัดหลงมาอาศัยอยู่ชั่วคราว”.....”

ภาวะที่ต้องมีชีวิตอยู่ กับวิถีธรรมชาติที่ไร้ขอบเขต ไร้จุดหมาย แต่บรรดาตัวละครทั้งหลายต่างก็มีบทบาท เคลื่อนขยายและ เคลื่อนไหวไปในวิถีชีวิตต่างๆเหมือนอย่างมีชีวิตชีวา..พวกเขาเหมือน เต็มใจ อยู่กับความฝัน ความหวังและการรอคอย เพื่อ มุ่งหวังถึงบางสิ่งบางอย่าง ที่จะมาจุดประกายความงดงามแห่งชีวิต ให้ “เรืองรองดุจ..แสงจันทร์” ในความคิดฝันอันตื่นตระการ..! “ป้าจันทร์"..ตัวละครที่ถือเป็นตัวละครหลัก เป็นศูนย์กลางแห่งชีวิตของเรื่อง ที่รอคอยการกลับมาของลูกชาย ผู้ออกจากถิ่นไปเป็นคนจรยังต่างแดน ..นางเฝ้ารอคอยลูกชายและเพื่อนๆ ด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง ภายใต้เงื่อนไขของร่างกายที่ผุโทรม และพร้อมจะตายจากพวกเขา ..เหล่าลูกหลานไปได้ทุกเมื่อ นางมีชีวิตซึ่งจมอยู่กับพิษร้ายของโรคภัยไข้เจ็บ..!

ส่วนตัวละคร.. “โทน เชน สาย และ พลคนจรสี่สหาย ที่ต่างมีความเชื่อว่า.. “โชคมักจะมาพร้อมกับเพื่อนเก่า”..พวกเขาออกจากบ้านเกิด ณ แดนไกลมาช้านาน..นานจนพวกเขาลืมเลือนความหมายของ.. “ความเป็นบ้าน”...บ้านของพวกเขาจึงขึ้น อยู่กับภาวะแห่งการกระทำของพวกเขาเอง..มันอาจจะแฝงฝังอยู่ในเรือหาปลา จมปลักอยู่กับเวิ้งฟ้าเหนือแผ่นดิน มัวหม่นอยู่ในบ่อนไพ่อันมอมเมา หรือเคว้งคว้างอยู่ในซ่องกะหรี่อันโสมม หรือมุดเงียบซ่อนอยู่ใน “กระเป๋าของกูเอง”..อยู่ในเป้ หรือในย่ามแห่งการเดินทางอันไม่มีวันสิ้นสุด..

ดั่งนี้..วิถีของคนจรจึงโลดแล่นไปตามภาวะแห่งความรู้สึก..ในบางขณะพวกเขาอาจร่ำรวยทรัพย์สินที่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงกาย ..แต่กับอีกหลายขณะ พวกเขากลับสูญเสียมันไปง่ายๆ สูญเสียไปกับความใคร่ที่หื่นกระหาย..กับความโลภที่เย้ายวนและมืดบอด หรือ กับ ความลุ่มหลงอันเสียจริตและไร้สติ..

แต่พวกเขา ..ก็อยู่ร่วมกันได้ ในวงจรแห่งความพ่ายแพ้ผิดหวังอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ..ด้วยน้ำใจไมตรีที่มีให้ต่อกันและกัน..เป็นความดีงามที่แทรกกลางอยู่ในโชคชะตาอันชั่วร้าย..เป็นความดีงามที่เปรียบเหมือน"วัดของหมู่บ้าน" ที่ตั้งอยู่โดยมี บ่อนไพ่ และซ่องกะหรี่ ขนาบข้างอยู่อย่าง โจ่งแจ้ง เปิดเปลือย และ ท้าทาย..

“ผมยืนนิ่งงันเหมือนรูปปั้นไร้ชีวิต กระแสเยือกเย็นจากทุกมุมโลก อาจวางเกลื่อนกลาดอยู่ข้างถนนทุกสายเหมือนไหลบ่าลงท่วมหัวใจ...โลกยังคงแปลกหน้าต่อผมอยู่เช่นเดิม ผู้คนล้วนมากมีในสิ่งที่ผมขาด ความสุขอาจวางเกลื่อนกลาดอยู่ข้างถนนทุกสาย...แต่ทว่า “คนมือสั้น” อย่างผม ไม่อาจก้มเก็บติดมือขึ้นมาได้...!”

อย่างไรก็ดี  ..แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะยับเยินไปด้วยการกระทำของความรู้สึก ในช่องว่างแห่งโอกาสอันน้อยนิด แต่พวกเขาก็ค่อยๆเรียนรู้ถึงโอกาสแห่งการกระทำ ที่จะก้าวเข้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยังมาไม่ถึง..เรียนรู้จากความผิดบาปชั่วร้ายที่ตัวเองเป็นผู้ก่อขึ้น เรียนรู้จากความตั้งใจอันมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ในการมุ่งหวังที่จะก้าวพ้นไปจากความเป็นมนุษย์อันไร้คุณค่า เพื่อบรรลุสู่ความสุขสว่างของชีวิต..

ท่ามกลางความขื่นขมของตราบาปนานา...แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่ได้หยุดคิด ที่จะโลดทะยานไปข้างหน้า..บนพื้นฐานแห่ง “ความเป็นจริงของความอดทน”..นั่นจึงเท่ากับว่า.. “คำตอบของชีวิต รออยู่ในวันพรุ่งงนี้ กว่าจะหาเจอก็อาจไม่เหลือลมหายใจแล้ว...เส้นทางการต่อสู้ของเรานั้น แท้จริงยาวไกลกว่าชีวิตเสียอีก มันทอดยาวออกไปไม่สิ้นสุด...ความทุกข์เศร้าก็เหมือนคลื่นลมในท้องทะเล มากับมรสุมแล้วก็จากไปพร้อมกับสายลมร้อน ...ผมต้องเข้มแข็งกว่านี้..!”

ว่ากันว่า...ทุกสิ่งที่เป็นความหมายในชีวิตจริง..ไม่มีสิ่งใดหรือภาวะใดๆเลยให้เราได้เลือก..ไม่มีข้อข้อยกเว้นใดที่จะไม่สัมผัสกับความผิดหวังเสียใจ ทั้งนี้ก็เพราะว่า..ทุกสิ่งที่บังเกิดขึ้นต่อหน้านั้นไม่อาจมีใครที่จะสามารถยอมรับได้ง่ายๆ..เนื่องเพราะแต่ละสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต เป็นสิ่งที่ทุกคนจักต้องยอมรับ.. จักต้องยอมรับผิดชอบ และยอมรับผลแห่งการกระทำของตนเอง..โดยไม่ต้องเสียเวลาไปหมกมุ่นกับความคิดนั้นๆ ไปเสียเวลาหมกมุ่นกับความรู้สึก อีกทั้งไม่ต้องไปพยามต่อสู้ เพื่อที่จะขจัดความคิดเหล่านี้ให้จบสิ้นลง..เพราะว่า..มนุษย์เราทุกคนมีความจำเป็นที่จักต้องเลือกกระทำในสิ่งที่ควรทำ..ดั่งนี้..ความเปลี่ยนแปลงของชีวิตจึงจะเกิดขึ้น..

“สายกับเชน ..กำลังมองโลกในด้านดี และมองเรือใหญ่ที่พวกเขาจะไปทำงานเพียงด้านเดียว..มันเป็นทางออกที่พวกเขารีบกระโจนเข้าใส่..แน่นอนล่ะว่า..พวกเขาผ่านอะไรมาเยอะแล้ว เหตุการณ์ที่ว่าร้ายและน่ากลัว ล้วนเคยเผชิญมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวอีกต่อไป..โชคร้ายก็ถือว่า..เสมอตัว..!” พลังแรงแห่งนัยของการดำเนินเรื่องตลอดจนนัยเรื่องราวของ “ฝั่งแสงจันทร์” นั้น..ครอบคลุมไปด้วยประเด็นของภาพแสดงต่อภาวการณ์ ต่างๆ ตามโครงสร้างแห่งวิถีชีวิตของตัวละครทุกตัวที่"ประชาคม"..ได้ชี้ให้เห็นว่า..มนุษย์ทุกผู้ทุกนามล้วนมีข้อบกพร่องด้วยกันทั้งสิ้น..เหตุเพราะ.. “บุคคลที่ปราศจากข้อบกพร่องนั้น..หากไม่ใช่คนโง่ ก็เป็นคนที่เสแสร้งทำดี เหตุนี้จุดบกพร่องจึงเป็นจุดที่ทำให้ “จุดดีของตนเด่นขึ้น” ..กระทั่งมีจุดบกพร่องบางอย่างที่ไม่จำเป็นต้องปกปิด..ตลอดไป”

เช่นเดียวกับเรื่องราวแห่งชีวิตของ “จอม”..ลูกสาวคนเดียวของป้าจันทร์..ซึ่งถือเป็นตัวละครที่โดดเด่น และมีมิติที่สุดในนวนิยายเรื่องนี้..เธอถูกกระทำย่ำยีชีวิตโดย “พ่อบังเกิดเกล้า” ของเธอเอง ..ถูกทำร้ายและทำลาย กล่องเสียงจนพูดไม่ได้..เธอต้องกลายเป็น “คนใบ้” ไปอย่างอเนจอนาถ...ต้องเดินคอเอียงไปข้างหนึ่งอย่างน่าอายและจำยอม..ชีวิตของเธอต้องพบกับความเจ็บปวดแสนสาหัส..ทั้งๆที่พื้นฐานแห่งจิตใจของเธอนั้น ..อิ่มเต็มไปด้วยความดีงาม.. !

...แม้จะต้องกลายเป็นคนพิการ แม้รูปกายจะต้องหม่นมัวอัปลักษณ์...แต่หัวใจและตัวตนของเธอ ก็ยืนหยัดต่อการมีชีวิตอยู่อย่างเปิดเผย และด้วยความรักความปรารถนาดีต่อทุกคน.. “แม้เป็นใบ้..แม้จะอัปลักษณ์เพียงใด แต่จอมก็คือของขวัญชิ้นประเสริฐสุด เท่าที่สวรรค์ มีเมตตาต่อผู้เป็นแม่..”

โดยภาพรวม... “ฝั่งแสงจันทร์” ดำเนินเรื่องด้วยวิถีของการเล่าเรื่อง ซึ่ง “ประชาคม” ได้ใช้วิธีการของการเล่าเรื่อง โดยลำดับการณ์ ถึงความหลังในชีวิต ของ “หนุ่มตังเก” ที่ชื่อว่า “พล” เป็นหลักใหญ่..  ทุกสิ่งที่เขากล่าวถึง ..เป็นความหลัง เป็นความทรงจำที่ไม่เคยลบเลือนดุจ “แผลเป็น” ที่ฝังติดอยู่กับกายร่างและหัวใจอย่างแนบสนิท แม้มันจะเป็นจารึกแห่งความน่าเกลียดน่ากลัว..สักเพียงใดก็ตาม...!

วิธีการเล่าเรื่องของ"ประชาคม"นั้นแนบชิดกับความรับรู้ในรู้สึก ผสานอยู่กับ กลิ่นอายของความห่วงหาอาทรด้วยน้ำจิตน้ำใจอันใสซื่อที่มอบให้แก่กันของคนในความเป็นคนชนบท.. ซึ่งนับวันก็หาได้ยากยิ่งในสังคมวงกว้าง แห่ง..เมืองหลวง"ณ วันนี้..พวกเขามีความรัก มีความเข้าใจในเบื้องลึกแห่งจิตวิญญาณของกันและกัน..เนื่องเพราะพวกเขาทุกคนมีความหลัง..และมีความหวัง ที่รอคอย “คำตอบของอนาคต”

ภาวะเฉกเช่นนี้...ทำให้ป้าจันทร์่ ยินยอมให้หนุ่มตังเก ซึ่งเป็นคนจรพลัดถิ่นได้เข้ามาพักพิงอาศัยอยู่ในบ้าน..ค่าที่ลูกชายของป้าจันทร์เองก็เป็นดั่งคนจรที่พลัดถิ่นไปอยู่ที่อื่น..แกหวังอยู่ลึกๆว่าเมื่อแกทำความดีแก่ลูกหลานของคนอื่น ลูกหลานของแกก็น่าจะได้รับความเเมตตาตอบแทนจากคนอื่นบ้าง..

การดำเนินเรื่อง โดยเฉพาะตรงการวางเงื่อนปมข้อสงสัย..ในส่วนชีวิตของป้าจันทร์ว่า..แกเฝ้ารอคอยสิ่งใดอยู่?..แกป่วยไข้เป็นอะไร? และ ทำไม “เฒ่าหอย” ..เพื่อนบ้านเก่าแก่จึงเป็นผู้ที่ไปรับเงินจากไปรษณีย์ ให้แกเสมอ? ปริศนาดังกล่าวนี้...ถูกเปิดเผยขึ้นอย่างขื่นขมในอนท้ายเรื่องว่า..ป้าจันทร์รอคอย ลูกชายทั้งสองของแกที่จะกลับบ้าน..จากทะเลที่ไกลแสนไกล..โดยไม่เคยรู้ระแคะ ระคายเลยว่า..ลูกๆของแกได้เสียชีวิตกันไปหม.ดแล้ว แต่เนื่องด้วยแกเป็นโรคหัวใจและโรคแทรกซ้อนอยู่หลายโรค..ทุกๆคนที่เป็นเพื่อนไม่ว่าจะเป็น  ยายฉิม ยายนี หรือว่า เฒ่าหอย.ต่างตกลงกันปิดเรื่องนี้ไว้ เฒ่าหอยและลูกชายยายฉิมคือผู้ส่งเงินในนามของลูกชายป้าจันทร์มาให้..เป็นการร่วม “เล่นละครชีวิตฉากใหญ่"..เพื่อจะให้ป้าจันทร์ผู้ใจดี ได้มีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง..มีชีวิตอยู่กับความสุขที่แกเฝ้าฝันถึงและรอคอยอยู่สมอมา..!

โดยทรรศนะส่วนตัว..ผมประทับใจตัวละครและพฤติกรรมของตัวละครที่ประชาคมได้สร้างขึ้น..ซึ่งเมื่อมองดูมันเผินๆ ก็เหมือนจะเข้าใจได้ง่ายๆ แต่แท้จริงภาวะต่างๆที่เชื่อมโยงกันเป็นเรื่องราวขึ้นมา ล้วนมีแง่มุมที่บาดลึกลงไปสู่ด้านในของความรู้สึก เป็นรอยต่ออันโหดร้ายของการกระทำระหว่างความชั่วร้ายและความดีงาม..ที่คาบเกี่ยวกันอย่างเหลือเชื่อ..ความเลวร้ายที่เกิดกับตัวละครทั้งหมดนี้น..ถือเป็นความสุกงอมของชีวิตที่ต้องทำความเข้าใจกันด้วย  "ความเป็นจริงแห่งความรู้สึกด้านลึก"โดยแท้..!

"มีอยู่หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตมนุษย์ ที่ไม่สามารถตีความและเข้าใจได้โดยทันที..เพราะการเป็นคนนั้น มิใช่ภาวะที่ดำรงอยู่ตลอดเวลา คนย่อมเปลี่ยนแปลงใหม่เสมอ..ภาวะของความเป็นคนจึงเปรียบประหนึ่ง การเดินทางสู่แหล่งใหม่ โดยไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงที่ตรงไหน?..เหตุนี้ทุกคนจึงไม่มีวันที่จะรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้แน่นอน..ซึ่งก็มีส่วนหลายส่วนในตัวคนแต่ละคน ที่ปิดบังซ่อนเร้นอยู่ จนมองไม่เห็น.."

"ฝั่งแสงจันทร์"ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2540/นับเนื่องมาถึงวันนี้ก็ 27 ปีล่วงผ่านแล้ว..นี่คือ .การตีพิมพ์่ครั้งที่ 6 ของนวนิยายเชิงประสบการณ์นิยม ที่เกาะกินใจ และประทับใจเรื่อง...!

"ว่ากันว่า..ตลอดช่วงเวลาที่คนเปลี่ยนแปลงเพื่อจะเป็นคนใหม่..คนตัดสินใจเลือกที่จะเป็นหรือไม่เป็น/ทำหรือไม่ทำ/เอาหรือไม่เอา/จะรับหรือปฏิเสธ/..การตัดสินใจเลือกในแต่ละครั้งของเหล่าตัวละครจึงนำมาทั้งความทุกข์และความสุข ตลอดจนนำมาซึ่งโชคและบาปเคราะห์ของคน..แต่ละคน

"อย่าไปจริงจังกับชีวิต ล้อเล่นกับมันให้สนุก..คนทุกคนเหมือนกันหมด..อยู่เพื่อกลืนกินลมหายใจของตนเอง อยู่เพื่อใช้ชีวิตที่มีอยู่เพียงจำกัดนี้น..ให้หมดลง.."

บทสรุปตรงส่วนนี้..ถือเป็นข้อยืนยันถึงจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์  ที่ประชาคม..เหมือนมีเจตจำนงที่่จะบอกกล่าวแก่ทุกคนว่า..การจะเข้าใจชีวิตให้อยู่รอดได้นั้นก็คือ..ความเข้าใจอันสมบูรณ์เกี่ยวกับความรู้จักเปลี่ยนแปลง..เพราะการเปลี่ยนแปลงคือการกระทำ..คือการสะสมประสบการณ์ อันมีค่ายิ่งของชีวิต ที่จะนำไปสู่ความเข้มเเข็งเด็ดเดี่ยว ที่เกิดจากพลังอันล้ำลึกภายใน ที่เราต้องตัดสินและเรียนรู้..ในการค้นหาด้วยตัวเองอย่างมุ่งมั่น..!!!

"คำตอบของชีวิต..รออยู่ในวันพรุ่งนี้..อย่าจมปลักกับความทุกข์เบื้องหน้า..ทุกสิ่งเปลี่ยนไปสู่ความจริงที่งดงามเสมอ..เพราะทุกคนเหมือนกันหมด..คือ.. “อยู่เพื่อกินลมหายใจของตนเอง..เท่านั้น ..!”.......”