กลายเป็นสงครามการเมืองที่ดุเดือด ละเลงเลือด บนประเทศเจ้าของฉายาว่า เป็นแดนสาวงาม อย่างเวเนซุเอลากันเลยทีเดียว

ภายหลังจากประกาศผล “เลือกตั้งประธานาธิบดี” เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ ที่ปรากฏว่า “ประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร ผู้นำเวเนซุเอลา” ได้รับชัยชนะเหนือ “นายเอ็ดมุนโด กอนซาเลซ ผู้นำฝ่ายค้าน” ซึ่งจะส่งผลให้ประธานาธิบดีมาดูโร ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเวเนซุเอลาอีกสมัย ครองอำนาจปกครองประเทศต่อไปอีกเป็นเวลา 6 ปี

ประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร ผู้นำเวเนซุเอลา ประกาศย้ำถึงชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่มีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (Photo : AFP)

ตามการประกาศของประธานาธิบดีมาดูโร ต่อการเลือกตั้งซึ่งได้เปิดคูหาให้ประชาชนชาวเวเนซุเอลาได้หย่อนบัตรเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ระบุว่า ตัวของเขานั้นชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงถึงร้อยละ 51 ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่ากึ่งหนึ่ง อันเปรียบเสมือนฉันทานุมัติของประชาชน ที่ให้เขาได้ครองอำนาจประเทศต่อไปอีกสมัย ส่วนนายกอนซาเลซ คู่แข่ง ได้คะแนนเสียงคิดเป็นร้อยละ 44 เท่านั้น

พลันสิ้นเสียงการประกาศของประธานาธิบดีมาดูโร ทางกลุ่มประเทศที่เป็นพันธมิตรของประธานาธิบดีผู้นี้ ก็ต่างพากันออกมาแสดงความยินดีกับนายมาดูโร เช่น จีน คิวบา รัสเซีย และอิหร่าน สวนทางแตกต่างกับทางฝั่งของพลพรรคฝ่ายค้านของนายกอนซาเลซ ก็ออกมาคัดค้านต่อผลการเลือกตั้งข้างต้น โดยระบุว่า นายกอนซาเลซ เป็นฝ่ายชนะ และได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าร้อยละ 73 หรือประมาณการจากผู้ลงคะแนนให้แก่นายกอนซาเลซ ก็มีจำนวนมากกว่า 6 ล้านคน ส่วนประธานาธิบดีมาดูโร มีผู้ลงคะแนนให้เพียง 2.7 ล้านคนเท่านั้น

นายเอ็ดมุนโด กอนซาเลซ ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งฯ เช่นกัน (Photo : AFP)

พร้อมกันนั้น ก็ระดมผู้คนมวลชนออกมาชุมนุมประท้วงต่อผลการเลือกตั้งฯ ที่ประธานาธิบดีมาดูโรออกมาประกาศ จากความไม่พอใจอย่างรุนแรงที่เห็นว่า เสียงของพวกเขาที่พากันไปลงคะแนนกาบัตรเลือกตั้ง ตามคูหาต่างๆ ประเทศนั้น ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้นำประเทศ หลังจากที่นายมาดูโร มาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ตั้งแต่ปี 2013 (พ.ศ. 2556) เป็นต้นมา สืบต่ออำนาจจากประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ผู้ล่วงลับ ปรากฏว่า สถานการณ์ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านเศรษฐกิจ มีแต่จะเลวร้ายลง จนถึงขั้นที่ทำให้ประชาชน ต้องอพยพออกนอกประเทศ เพื่อแสวงหาชีวิตใหม่ในต่างประเทศที่ดีกว่า จนกลายเป็นคลื่นอพยพของผู้คนอย่างมหาศาล โดยมีการประเมินกันว่า ประชาชนชาวเวเนซุเอลา แห่อพยพนอกประเทศไปแล้วราว 8 ล้านคน

ประชาชนชาวเวเนซุเอลา ชุมนุมประท้วงผลเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่ประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร ประกาศชัยชนะ ในกรุงคารากัส เมืองหลวงของประเทศ (Photo : AFP)

ถึงขนาดทางการเวเนซุเอลา ต้องออกโครงการเรียกร้องให้ชาวเวเนซุเอลาที่อพยพออกไปแล้วนั้น กลับคืนสู่ประเทศมาตุภูมิบ้านเกิด

อย่างไรก็ดี ปรากฏว่า กลุ่มผู้อพยพชาวเวเนซุเอลาในต่างแดนจำนวนหนึ่ง ต้องการให้นายมาดูโร ต้องกระเด็นพ้นจากเก้าอี้ประธานาธิบดีไปเสียก่อน ดังนั้น กลุ่มผู้อพยพฯ เหล่านี้ จึงสนับสนุนผู้สมัครฯ ฝ่ายค้าน ในการสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีที่มีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาอย่างที่เห็น ทางกลุ่มผู้อพยพฯ ส่วนหนึ่งก็ได้ผสมโรงในการสนับสนุนการแสดงออกถึงการต่อต้านประธานาธิบดีมาดูโร ด้วยเห็นว่า ประธานาธิบดีผู้นี้โกงเลือกตั้ง ขโมยคะแนนเสียงประชาชนที่กาบัตรเลือกตั้งนั้นไป

เบื้องต้นของการชุมนุมประท้วง จำนวนหลายพันคน ก็พากันเดินขบวนก่อนไปปักหลักรวมตัวใกล้กับ “ทำเนียบประธานาธิบดี” ใน “กรุงคารากัส” เมืองหลวง ก่อนขยายวงลุกลามไปยังเมืองต่างๆ ในอีกวันสองวันถัดมา

โดยการชุมนุมประท้วงข้างต้น ก็เป็นไปอย่างดุเดือด จากการปะทะกันระหว่างม็อบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน ก่อนสถานการณ์จะบานปลายกลายเป็นจลาจลในหลายพื้นที่ ทั้งเผาทำลายข้าวของ

ในการปะทะกัน ก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วนับสิบคน และมีผู้ถูกตำรวจจับกุมไปจำนวนหลายร้อยคน ซึ่งทางประธานาธิบดีมาดูโร กล่าวโทษว่า กลุ่มแนวคิดขวาตกขอบ หรือขวาสุดโต่ง ทั้งในและนอกเวเนซุเอลา เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง การจุดไฟม็อบ ก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงอย่างที่เห็นเช่นนี้

ทั้งนี้ เมื่อกล่าวรัฐบาลของประธานาธิบดีมาดูโร ก็จัดให้เป็นฝ่ายซ้ายของเวเนซุเอลา

สถานเอกอัครราชทูตของชิลี ในกรุงคาราคัส ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศของภูมิภาคอเมริกาใต้ หรือลาตินอเมริกา ที่มีปัญหาขัดแย้งกับทางการเวเนซุเอลา จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีเวเนซุเอลาครั้งล่าสด (Photo : AFP)

จากความรุนแรงที่ปรากฏ ก็ส่งผลให้องค์การระหว่างประเทศ อย่าง “สหประชาชาติ” หรือ “ยูเอ็น” ตลอดจนนานาประเทศ ทั้งกลุ่มชาติตะวันตก ที่นำสหรัฐฯ อังกฤษ และสหภาพยุโรป หรืออียู และบรรดาชาติในอเมริกาใต้ หรือลาตินอเมริกา และอเมริกากลาง หรือคอนคาเคฟ รวมถึงในย่านทะเลแคริบเบียน ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล ชิลี คอสตาริกา ปานามา เปรู สาธารณรัฐโดมินิกัน และอุรุกวัย ออกมาแสดงปฏิกริยาทั้งต่อการคัดค้านผลการเลือกตั้ง และไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงของทางการเวเนซุเอลา จนนำไปสู่การปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีการเสียเลือด เสียเนื้อ ตลอดจนสูญเสียอิสรภาพกันเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่ถูกตำรวจจับกุม

กล่าวถึงปฏิกริยาของบรรดาชาติในลาตินอเมริกาข้างต้น ก็ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามมา ระหว่างเวเนซุเอลากับชาติในอเมริกาใต้เหล่านั้น

เริ่มจากการที่ทางการเวเนซุเอลา ระงับเที่ยวบินพาณิชย์จากปานามา ในคอนคาเคฟ หรืออเมริกากลาง และจากสาธารณรัฐโดมินิกัน ประเทศในหมู่เกาะย่านทะเลแคริบเบียน

ระงับเที่ยวบินพาณิชย์ แบบราวกับปิดน่านฟ้าระหว่างกันยังไม่พอ ทั้งเวเนซุเอลา กับประเทศในลาตินอเมริกา และคอนคาเคฟ ตลอดจนย่านทะเลแคริบเบียนเหล่านั้น ยังถึงขั้นสะบั้นสัมพันธ์ทางการระหว่างประเทศกันด้วย ด้วยการเรียกตัวเอกอัครราชทูตกลับประเทศด้วยกันทั้งสองฝ่าย

พร้อมกันนี้ ทางการของบรรดาประเทศข้างต้น ก็ยังได้เรียกร้องกระตุ้นเตือนให้ทางการเวเนซุเอลา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีเปิดเผยผลคะแนนเลือกตั้งที่แท้จริงออกมา ซึ่งข้อเรียกร้องในลักษณะอย่างนี้ ก็ต้องบอกว่า เป็นเรื่องยากที่เวเนซุเอลาจะยอม พร้อมกับส่งผลให้ปัญหาความขัดแย้งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคดังกล่าวต้องดำเนินอยู่ต่อไป

สร้างความวิตกกังวลให้แก่ “องค์การรัฐอเมริกัน” ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศของทวีปอเมริกา อันครอบคลุมทั้งอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ โดยมีชาติสมาชิก 35 ประเทศ อันมีสหรัฐฯ รวมอยู่ด้วยกัน ต้องเรียกประชุมฉุกเฉินในสัปดาห์นี้ เพื่อเร่งแก้ไขข้อขัดแย้งดังกล่าว ที่ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคโดยรวมให้ลุล่วงไป