วันที่ 1 ส.ค.2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณารายงานผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน เรื่อง ข้อเสนอในการส่งเสริมสถาบันพรรคการเมือง ให้ยึดโยงกับประชาชน โดยมีการเปิดให้สมาชิกอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่เป็น สส.จากพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นสลับกันอภิปราย
โดยนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า พรรคการเมืองในระบบประชาธิปไตยลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด พรรคการเมืองเกิดขึ้นเยอะแยะแต่ก็ล้มหายตายจากไป แต่พรรคการเมืองที่เราน่าจะชื่นชมมีอายุไขนานที่สุดในประเทศไทยคือพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่อยู่มา 76 ปีแล้ว ก็มีขึ้นมีลง เป็นเรื่องธรรมดา ตนจึงอยากให้พรรคการเมืองเป็นสถาบัน เป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนจริงๆ ศรัทธาพรรคไหนไปอยู่พรรคนั้น เมื่อเลือกพรรคไหนมาเป็นผู้แทนก็มีความเสมอกัน ไม่มีใครสูงใครต่ำ
“ผมฟังประธานกมธ.ชุดนี้รายงานช่วงแรกๆ ว่าพรรคการเมืองเกิดง่ายนั้นถูกต้อง แต่ต้องตายยาก ท่านพูดคล้ายๆ จะกลั่นความรู้สึกว่าวันที่ 7 ส.ค.นี้ ผมฟังแล้วสะเทือนใจเพราะไม่อยากให้มีองค์กรใดๆ มายุบพรรคการเมือง คนที่จะยุบเขาต้องฟังด้วย และหวังว่าทั้ง 9 คนของศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่ได้ยึดโยงกับชาวบ้านจะรับฟัง
ผมโดนมาก่อน ตอนอยู่พรรคไทยรักไทยที่พรรคถูกยุบ แล้วถูกตัดสินเพราะผมเป็นกรรมการบริหารพรรค ทำให้ผมกว่าจะเข้าสภาฯ มาได้ใช้เวลา 17 ปี ดังนั้น วันที่ 7 ส.ค.นี้ผมไม่อยากให้เกิดสภาพแบบพรรคไทยรักไทย เพราะคนที่จะยุบพรรคการเมืองต้องยึดโยงกับประชาชน คือ ประชาชนเริ่มต้นและประชาชนเป็นคนยุบ และพรรคที่ล้มหายตายจากไปเพราะเขาไม่เลือก นั่นคือตุลาการผู้พิพากษาที่ใหญ่ที่สุดในโลกในระบอบประชาธิปไตย ผมขอให้กำลังใจพรรคก้าวไกล" นายอดิศร กล่าว