เพราะปลาหมอคางดำถูกเรียกขาน ว่า ปลาต่างถิ่นสายพันธุ์รุกราน (Invasive Alien Species) มาจากประเทศกานา จากทวีปแอฟริกาตามที่ภาครัฐกำหนด ทำให้ปลาชนิดนี้กลายเป็นปลาที่น่ากลัวในสายตาผู้คนทันที ถ้าเปลี่ยนชื่อปลาหมอคางดำให้เป็นชื่ออื่นให้ดูน่าเข้าใกล้มากขึ้นเช่น ปลาหมอชินนี่ (Chinny) ล้อเสียงตามคำว่า Chin (คาง) ของปลาหมอก็อาจจะลดภาพความหวาดกลัวลง และสื่อสารเรื่องประโยชน์ของปลาเพิ่มขึ้น สังคมก็จะเปลี่ยนไปทดลองใช้ประโยชน์จากชนิดนี้มากขึ้น
โดยนายนรชาติ สรงอินทรีย์ นักวิชาการอิสระด้านสัตว์น้ำ ได้มองในมุมที่แตกแต่ง (soft side) เพื่อเป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่งของปลาหมอคางดำซึ่งมีโปรตีนไม่แตกต่างจากปลานิลและปลาหมอเทศ โดยเฉพาะการนำไปเป็นอาหารของมนุษย์ หรือ นำไปทำปลาป่นเป็นวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ ให้เห็นประโยชน์ของปลาหมอคางดำชัดเจนขึ้น เกิดความเข้าใจในวงกว้างเพิ่มเติม สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลขณะนี้ ที่สนับสนุนให้มีการจับปลาและบริโภคเป็นอาหารในครัวเรือน จนถึงพัฒนาเป็นเมนูอาหารร่วมสมัยประจำภัตตาคารและร้านอาหาร ขณะที่นักวิชาการบางท่านแนะนำให้พัฒนาเป็นเมนูอาหารประจำถิ่นสร้างรายได้ให้กับชุมชน
ขณะนี้ รัฐบาลสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนใช้ประโยชน์จากปลาทั้งตัว เช่น นำไปทำเป็นปลาป่น เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งสัตว์บกและสัตวน้ำ นำไปทำน้ำหมักชีวภาพเป็นปุ๋ยสำหรับพืช นำไปบดเป็นเหยื่อปลาและปู ตลอดจนทำเป็นอาหารในครัวเรือนจนถึงผลิตภัณฑ์ของวิสาหกิจชุมชน เช่น น้ำปลา ปลาร้า ปลาแดดเดียว ปลาทอดน้ำปลา ปลาเผา ปลาราดพริก ฉู่ฉี่ปลาหมอคางดำ ปลาหมอคางทอดกระเทียม ปลาฟู ไส้อั่ว ข้าวเกรียบ ขนมจีนน้ำยา แกงส้ม แกงคั่ว ต้มส้ม ปลาลุยสวน นึ่งมะนาว ห่อหมก ป็นต้น ล่าสุดคณะนักวิจัยอาหารของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้พัฒนาปลากระป๋องทำจากปลาหมอคางดำ และยังมีผงโรยข้าวแบบญี่ปุ่น น้ำพริกปลารสแซ่บ ซึ่งหน้าตาน่ารับประทาน นับเป็นเรื่องท้าทายฝีมือของบรรดาเหล่าเชฟและนักพัฒนาอาหาร ให้นำปลาหมอคางดำไปรังสรรค์อาหารจานอร่อยให้ได้ลิ้มลองกัน
แนวทางดังกล่าวกระตุ้นให้เกิดการบริโภคปลาหมอคางดำเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยต้องการลิ้มลองรสชาติของเนื้อปลาหมอคางดำที่มีรสชาติใกล้เคียงกับปลานิลและปลาหมอเทศ อย่างเช่น ร้านอาหารชื่อดังร้านหนึ่งในจังหวัดราชบุรี สร้างโอกาสในการทำรายได้จากการแนะนำ “เมนูวาระแห่งชาติ” จากปลาหมอคางดำ โดยประกาศรับซื้อปลาจากเกษตรกรในราคา 20 บาทต่อกิโลกรัม และซื้อไม่ต่ำกว่าวันละ 50 กิโลกรัม หลังเมนูปลาหมอคางดำได้รับความนิยมจากลูกค้า
การใช้ประโยชน์จากปลาดังกล่าวข้างต้นยังสอดคล้องกับแนวทางเร่งด่วนของรัฐบาลขณะนี้ คือ การเร่งจับปลาออกจากแหล่งน้ำให้มากที่สุดโดยเฉพาะปลาตัวใหญ่ และเมื่อจับมาแล้วต้องสร้างมูลค่าให้กับปลาเพื่อจูงใจให้มีการลงแขกจับปลาต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติการตามขั้นตอนต่อไปคือ การปล่อยปลาผู้ล่า เช่นปลากะพงขาว ปลาอีกง ให้ลงไปกินลูกปลาขนาดเล็กมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายในการตัดวงจรชีวิตของปลาหมอคางดำ
อีกประการหนึ่งที่ควรดำเนินการ คือ ศึกษาและเรียนรู้จากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการกำจัดปลาหมอคางดำ เช่น สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย เพื่อนำแนวทางดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับแหล่งน้ำธรรมชาติของไทย ในการเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดปลาให้ได้มากที่สุด โดยไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ
การสื่อสารเกี่ยวกับปลาหมอคางดำช่วงนี้หากยังตอกย้ำตลอดเวลา ว่า มาจากทวีปแอฟริกา เป็นปลาดุร้าย กินแหลก กินไม่เลือกสัตว์น้ำขนาดเล็กหายหมด ยิ่งสร้างภาพจำที่น่ากลัวให้สังคมความเข้าใจปลาชนิดนี้ผิดไปจากความเป็นจริง กระทั่งสื่อบางสำนักเรียกขานว่าปลาปีศาจนั่นก็เกินความจริงไปมาก ส่วนสื่อบางคนสอบถามว่าปลาหมอคางดำกินได้หรือ? ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาครัฐควรให้ความรู้เกี่ยวกับปลาหมอคางดำสร้างการรับรู้ให้ขยายวงกว้างขึ้น จนคนปรับตัวอยู่กับปลาได้อย่างเหมาะสม
ดีที่สุดควรรับฟังและปฏิบัติตามที่ผู้เชี่ยวชาญสัตว์น้ำให้ข้อมูลและแนะนำ ในระยะสั้น คือ เจอก็จับ จับแล้วกิน ก็จะเกิดประโยชน์กับคนและปลา ส่วนระยะกลาง-ระยะยาวต้องหาวิธีที่กำจัดปลาหมอคางดำที่มีประสิทธิภาพสูง กำจัดได้ครั้งละปริมาณมากๆ ตัดตอนการแพร่พันธุ์ของปลา เพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหาให้เกิดผลดีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน