หากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็แน่เสียยิ่งแน่ว่า คู่ชิงชัยในสมรภูมิเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2024 (พ.ศ. 2567) ซึ่งจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนปลายปีนี้ จะเป็นการสัประยุทธ์กันระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ผ่านการรับรองแล้วจากพรรครีพับลิกัน กับนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีหญิงแห่งสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าทางพรรคเดโมแครตจะประกาศรับรองให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งตัวแทนพรรคเดโมแครต ในการประชุมใหญ่ของพรรคฯ ณ นครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ในระหว่างวันที่ 19 – 22 สิงหาคมที่จะถึงนี้

โดยคู่สัประยุทธ์ข้างต้น ก็ถือเป็นการเปลี่ยนตัวของพรรคเดโมแครต ที่จากเดิม คือ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง หลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งขั้นต้นของรัฐต่างๆ จนได้คะแนนเสียงของ “คณะผู้เลือกตั้ง” หรือ “ผู้แทนการลงคะแนนเสียง” จำนวนเพียงพอ หรือมากกว่าเกณฑ์กำหนดด้วยซ้ำ โดยรอเพียงการประกาศรับรองอย่างเป็นทางการจากที่ประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครต ที่จะมีขึ้นในปลายเดือนนี้เท่านั้น

ทว่า ประธานาธิบดีไบเดน ก็มีเป็นไปเสียก่อน จากปัญหาเรื่องสุขภาพ อันเป็นผลมาจากที่เขามีอายุมากแล้วถึง 81 ปี นั่นเอง ซึ่งปัญหาเรื่องสุขภาพจากความชราภาพของเขานั้น ได้สำแดงออกมาอย่างชัดเจนบนเวทีการอภิปรายโต้วาทีเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ หรือดีเบต ครั้งแรก กับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่สตูดิโอ ห้องส่งของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ในนครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา

ผลจากดีเบตอันเป็นปฐมฤกษ์กับอดีตประธนาธิบดีทรัมป์ในครั้งกระนั้น ต้องบอกว่า สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อประธานาธิบดีไบเดน

เพราะไม่ว่าจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกัน หรือการทำโพลล์ ที่มีต่อการดีเบตข้างต้น ต่างระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า ประธานาธิบดีไบเดน พ่ายแพ้ให้แก่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์อย่างหลุดลุ่ย ทุกสำนักโพลล์ ไม่เว้นแม้กระทั่งโพลล์ของสถานีโทรทัศน์สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ซึ่งเป็นคู่ปรปักษ์ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เอง ก็ยังให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นฝ่ายชนะต่อประธานาธิบดีไบเดน คิดเป็นร้อยละ 67 ต่อ 33 หรือกว่าครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว

นอกจากโพลล์ดีเบตที่พ่ายยับแล้ว ในการสำรวจคะแนนนิยมระหว่างประธานาธิบดีไบเดน ก็ตามหลังอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ แทบทุกสำนักโพลล์ จนสร้างความหวั่นวิตกให้แก่พลพรรคเดโมแครตใหญ่น้อย คือ ตั้งแต่สมาชิกพรรคธรรมดาทั่วไป จนถึงบรรดาแกนนำที่มีบทบาทและอิทธิพลของทางพรรค หรือแม้กระทั่งบรรดากลุ่มทุนที่บริจาคเงินให้แก่พรรค ได้แสดงกังวลว่า หากยังขืนปล่อยให้ประธานาธิบดีไบเดน ยืนเป็นตัวชูโรงในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทางพรรคต่อไปอย่างนี้ เก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำเนียบขาว ก็มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนคนนั่ง คือ พ่ายแพ้เลือกตั้งให้แก่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เป็นแน่

ว่าแล้วก็ได้มีกระแสกดดันจากเบาไปหาหนัก ที่เรียกร้องให้ประธานาธิบดีไบเดน ถอนตัวจากการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทางพรรคเดโมแครตเสีย

แรกๆ ประธานาธิบดีไบเดนก็มีขัดขืน แต่เมื่อกระแสกดดันทวีความรุนแรงหนักขึ้น ถึงขั้นไม่มีเม็ดเงินบริจาคไหลจากกลุ่มทุนมาสู่พรรค ทางประธาธิบดีไบเดน ก็ไม่อาจฝืนทนต่อไปได้ ต้องประกาศถอนตัวไปในที่สุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา พร้อมกับประกาศการสนับสนุนนางแฮร์ริส รองประธานาธิบดี ซึ่งเป็นอเมริกันลูกครึ่งอินเดีย-จาเมกา วัย 59 ปี เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของทางพรรคเดโมแครตแทน

นอกจากประธานาธิบดีไบเดน ออกมาประกาศการสนับสนุนต่อรองประธานาธิบดีแฮร์ริสแล้ว ปรากฏว่า ในเบื้องต้นบรรดาประธานสมาคมคณะกรรมการพรรคเดโมแครตระดับรัฐ อันเปรียบเสมือนผู้นำ หรือประธานเครือข่ายของพรรคเดโมแครต ตามรัฐต่างๆ ของสหรัฐฯ ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 50 รัฐ ได้ออกมาแสดงการสนับสนุนต่อรองประธานาธิบดีแฮร์ริสนี้ด้วยเช่นกัน

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กับการสนับสนุนต่อรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส (Photo : AFP)

ใช่แต่เท่านั้น กระทั่งอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา แห่งสหรัฐฯ พร้อมด้วยนางมิเชล โอบามา ภริยา ซึ่งเป็นอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ ด้วยนั้น ล่าสุด ก็ได้ออกมาประกาศการสนับสนุนต่อรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ในฐานะตัวแทนพรรคเดโมแครต ไปสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ของพรรครีพับลิกัน

เมื่อได้รับประกาศให้เป็นตัวแทน แบบรับไม้ต่อจากประธานาธิบดีไบเดน รวมถึงได้รับแรงสนับสนุนจากบรรดาพลพรรคเดโมแครตใหญ่น้อยแล้ว ทางรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ก็ได้เริ่มเปิดฉากการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของพรรคเดโมแครตเป็นครั้งแรกโดยทันที เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

โดยรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ได้เริ่มเปิดประเดิมการหาเสียงเป็นครั้งแรกที่เมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน ซึ่งสาเหตุที่ทางรองประธานาธิบดีแฮร์ริส และทางทีมงานเดโมแครต เลือกเมืองแห่งนี้เป็นที่ ก็ไม่ผิดอะไรกับการข่มขวัญพรรครีพับลิกัน ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งได้มีประชุมใหญ่ของพรรคฯ และได้รับรองให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างเป็นทางการของทางพรรคฯ รวมถึงการเปิดตัวของ “คู่หู” คือ ผู้ที่จะมาเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายทรัมป์ หากว่าอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รับชัยชนะ

ทั้งนี้ ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งระหว่างรองประธานาธิบดีแฮร์ริส กับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ได้ถล่มโจมตีต่อกันไปมา ซึ่งก็เป็นธรรมดาของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นชาติใดก็ตาม

ชาวพรรคเดโมแครต ถือป้ายมีข้อความสนับสนุนรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส สู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 (Photo : AFP)

อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงคะแนนนิยมของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ และรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ซึ่งเพิ่งได้เปิดตัวมาราว 1 สัปดาห์นั้น ก็ปรากฏว่า ตามการสำรวจโพลล์ส่วนใหญ่ของสำนักต่างๆ ยังคงให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เหนือกว่า มากบ้างน้อยบ้าง ไม่เว้นแม้กระทั่งสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นคู่ปรับของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ยังให้อดีตประธานาธิบดีฝีปากกล้าผู้นี้เหนือกว่ารองประธานาธิบดีแฮร์ริส ที่ร้อยละ 49 ต่อ 46 โดยมีเพียงบางสำนักโพลล์เท่านั้นที่ให้รองประธานาธิบดีแฮร์ริสเหนือกว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ก็เป็นไปในแบบสูสี คือ 1 – 2 จุด เช่น “มอร์นิงคอนซัลท์โพลล์” ให้รองประธานาธิบดีแฮร์ริสเหนือกว่าที่ร้อยละ 46 ต่อ 45 หรือ “รอยเตอร์ส/อิปซอสโพลล์” ให้รองประธานาธิบดีแฮร์ริสเหนือกว่าที่ร้อยละ 46 ต่อ 44

โดยเมื่อนำผลโพลล์ของสำนักโพลล์ต่างๆ มาหาค่าเฉลี่ยโดย เรียลเคลียร์โพลิทิก หรืออาร์ซีพี แล้ว ปรากฏว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ยังเหนือกว่ารองประธานาธิบดีแฮร์ริส ที่ร้อยละ 47.9 ต่อ 46.0

ก็ยังเป็นโจทย์ใหญ่ของทางเดโมแครต ในการสร้างคะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ให้พลิกกลับมานำอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ในช่วงเวลาที่เหลือเพียง 3เดือนกว่าๆ เท่านั้น