ปากกาขนนก/สกุล บุณยทัต

“ชีวิตมีการเรียนรู้ในรับรู้อยู่เสมอ หากมโนสำนึกจดจ่ออยู่กับมัน ก็ยิ่งจะบังเกิดความประจักษ์แจ้งในแบบเรียนแห่งชีวิต ที่เต็มไปด้วยมิติของการสัมผัสรู้นี้..

ประเด็นสำคัญก็คือว่า..ขณะที่ชีวิตของใครก็ตาม ต่างกำลังดำเนินไปสู่เบื้องหน้า..โอกาสแห่งความผิดพลาดมักจะบังเกิดขึ้นได้เสมอ..และนั่นย่อมหมายถึงว่า..เมื่อเกิดภาวะชีวิต เช่น...บทเรียนแห่งจิตปัญญาก็ย่อมเกิดเป็นราคาที่สูงค่า เกินกว่าจะข้ามผ่านไปอย่างไม่ไยดี.."

สำนึกคิด อันชวนกระทบใจเบื้องต้น คือสาระแห่งผลรวมสำคัญจากหนังสือ “วิชาใจเบา” (Lighter)..หนังสือที่เน้นย้ำให้เราได้ตระหนักถึงคุณค่าอันเป็นประโยชน์ที่จิตใจได้สร้างสรรค์ขึ้น ภายในตัวตนของเราแต่ละคน เป็นรากฐานอันล้ำลึกของสำนึกคิด ที่ส่งผลถึงการผจญภัยทางจิตวิญญาณด้วยผัสสะอันอ่อนโยนและแผ่วเบา  ....ท่ามกลางประดิษฐกรรมแห่งสำนึกคิดอันจริงแท้ของโลกยุคใหม่ที่มากมาย..!

"ยอมรับตัวเอง...ด้วยการมองเห็นตามความเป็นจริง"

นักเขียนหนุ่มชาว “เอกวาดอร์”  “Yung Pueblo” อันเป็นนามปากกาของ “Diego Perez” ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาด้วยประเด็นความคิดอันเเยบยล ผ่านภาพแสดงแห่งบทบาทชีวิตที่ชวนตีความในหลากหลายทรรศนะ..

“เมื่อผิดพลาดไม่ต้องปกป้องตัวเอง..หัวเราะเยาะตัวเอง ระวังอย่าให้พลาดอีก แต่ก็ไม่ควรเอาอดีตมาค้ำสมองไว้”.. การยอมรับในวิถีแห่งความแข็งแกร่งและเข้าใจในอุบัติการณ์ของความเป็นชีวิตได้อย่างลึกซึ้งเช่นนี้ จะทำให้ตัวตนตระหนักในท่าทีของโลกที่ดำเนินไปอย่างไร้ระเบียบมากขึ้น..*

“หากผิดใจใคร ขอให้นั่งลงคุยกัน อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงผ่านไปเนิ่นนาน ยิ่งเวลาล่วงผ่าน ระยะห่างยิ่งไกล ยิ่งเข้าใจกันยากยิ่งขึ้น”..มันจะกลายเป็นเสี้ยนหนามที่ทิ่มแทงใจและค้างคาอย่างเจ็บปวดอยู่ตลอดไป.. “หากป่วยไข้ไม่ว่าจะเป็นกายหรือใจ ขอให้ปล่อยให้มันค้างคาไว้ ไม่ต้องรีบที่จะหาย ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ยิ่งอยากหายยิ่งทุรนทุราย”

...ครั้นเมื่อเราปรับใจได้..เราจะไม่เพิ่มทุกข์ให้แก่ตัวเอง จนบังเกิดเป็นความ “ทุกข์ทรมาน” ระหว่างรอ..

“เมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ ให้มองออกไปนอกตัวเองบ้าง..เราจะเห็นถึงธรรมชาติที่เป็นปกติว่า..สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ไม่ได้เกิดแค่เฉพาะเราคนเดียว แต่มันเกิดขึ้นได้กับคนเราทุกคน ที่ต้องทุกข์ใจและอึดอัดใจด้วยกันทั้งนั้น” มันคือ..ภาวะที่เราต้องเข้าใจและหยั่งรู้.. “หากมองเห็นและตระหนักในความทุกข์” ของคนอื่น..แม้ความทุกข์จะไม่หลุดพ้นไปจากตัวเรา..แต่มันก็ย่อมจะคลายจางลงอย่างแน่นอน..

“ขยันได้ ..ปรารถนาจะประสพความสำเร็จได้..แต่ก็ต้องรู้จักการผ่อนปรนด้วยเช่นกัน เวลาที่เราขยันหรือเวลาทุ่มเทกายและใจให้กับใคร เราก็มักจะหวังผลเลิศ..แต่ผลมันก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป” /เหตุนี้ จงเตรียมรับ ความผิดหวังบ้าง..ทั้งนี้เพราะโลกมีองค์ประกอบต่างๆที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของคนเรา..ชีวิตจึงอาจจะสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง...เช่นเดียวกับการกระทำของชีวิตที่ อาจจะมีทั้งความขี้เกียจและขยันระคนกันไป

“จงมองเห็นความเป็นชีวิตของตนเอง เป็นสิ่งปกติธรรมดา..อย่ามองชีวิตให้เต็มไปด้วยความเลิศเลอดั่งหวังแห่งใจในทุกๆวัน..ก็ได้..” “Yung Pueblo”..เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาจากประสบการณ์จริงอันขมขื่นและทุกข์ทรมานของชีวิต นับแต่เมื่อเขา “ติดยา”..ในวัยเยาว์..จนกระทั่งได้พยายามที่จะพ้นทุกข์นั้น ด้วย “วิถีสมาธิ”..จนจิตใจสบายและบางเบาไปจากความทุกข์..ชีวิตได้ฟื้นตื่นขึ้นมาได้..ทั้งหมดเกิดจากปมอันมืดดำภายในใจ..

นอกเหนือจากการใช้สมาธิแล้ว...ความรู้สึกรักในตัวเองก็เป็นพลังอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ตระหนักในตัวตน และบังเกิดเป็นสายทางสำคัญแห่งการเยียวยาจิตใจจนมีสติปัญญาอันแข็งแกร่งและมีคุณค่า จนสามารถปลดปล่อยตัวเองออกจากความล้มเหลว และสามารถสร้างจิตวิญญาณใหม่ที่เจิดกระจ่างได้..

"ปลดปล่อยพันธนาการเมื่อในอดีต ที่โอบกอดพันธนาการที่เบาสบาย แล้วเราจะพบกับความหมายที่แท้ของการเยียวยา..ที่เบาสบายกว่าเดิม.. “การเยียวยาหาใช่การเติมเต็มชีวิตด้วยความพึงพอใจ และก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เราจะไม่พบเจอความยากลำบากอีกเลย แต่มันคือ..การมีชีวิตอยู่กับความจริง และเผชิญหน้ากับความรู้สึก เพื่อไม่ให้มันสะสมจนนำไปสู่หนทางอันตราย..”

ประสบการณ์จริงแห่งชีวิตของผม..ทำให้ได้ตระหนักถึงเจตจำนงอันเป็นเนื้อในของหนังสือเล่มนี้..ว่ากันว่า..เราจำเป็นต้องตระหนักถึงรอยแผลอันบาดลึกที่เจ็บปวดของชีวิต มันคือตัวอย่างบทเรียนอันสำคัญที่พาดผ่านความเป็นตัวตนแห่งชีวิตของเรา..บางครั้งดั่งการโหมกระหน่ำของคลื่นคลั่งแห่งทุกข์ บางครั้ง ก็คล้ายเหมือนพายุแห่งชะตากรรมที่รุกกระหน่ำใส่ตัวตนของเราอย่างไร้กรุณา..เพียงขึ้นอยู่กับว่าเราจะอดทนได้เพียงไหน? และสามารถพลิกฟื้นชีวิตให้คืนกลับสู่ความถูกต้องอันเป็นสามัญหรือเรืองโรจน์ในการเป็นอุทาหรณ์ได้..

“การรักตัวเองไม่ได้หมายถึงการทำให้ตัวเองมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยม..แต่มันคือ การแนะนำตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้เราได้เติบโตอย่างแม้จริง อคติที่แข็งแกร่งของเรา จึ่งคือ ณ ขณะที่เราคิดว่า สาเหตุของปัญหาเกิดจากปัจจัยภายนอก..เพราะอัตตาของเราชอบโทษสิ่งอื่นหรือแม้แต่คนที่ชิดใกล้กับเรา”

ในที่สุดเราก็เกิดผัสสะได้ว่า “วิชาใจเบา” เป็นหนังสือที่ทำให้ผู้ที่สนใจต่อการใคร่ครวญในชีวิตทุกคนได้พบกับข้อสรุปแห่งชีวิตอันสมควรและมีคุณค่า..ตลอดทั้งชีวิตได้อย่างแยบยล..อาทิ..การเยียวยาไม่ได้เป็นการลบอดีตทั้งยังไม่ใช่การลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้น..แต่มันคือ การประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในใจ ที่เราอาจยังไม่รับรู้..ต้องถือว่าการเยียวตัวเองนั้นทำได้ ด้วยการปล่อยวางอดีต.. และ..ดำรงอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น..ที่สำคัญ หนังสือเล่มนี้ยังเน้นย้ำต่อเราว่า ..การรักตัวเองเป็นการกระทำในสิ่งที่เราต้องทำ..เพื่อให้ได้รู้จักและสามารถเยียวยาตนเอง..

 “การเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างในคราวเดียวกัน มักไม่ได้ผล” ซึ่งย่อมแน่นอนว่า..ครั้นเมื่อความรักตัวเองเป็นรากฐานที่เติบโตและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น..อีกระดับหนึ่ง..ความรักที่มีต่อผู้อื่น..จะขยายกว้างออกไปพร้อมๆกัน..นั่นจึงเท่ากับว่า..

“เราไม่มีทางหยุดเวลา หรือลบชั่วขณะใดออกไปได้ แต่การปล่อยวางอย่างเหมาะสม จะทำให้เราเดินหน้าฝ่าทิวเขาแห่งความไม่เที่ยงต่อไปอย่างง่ายดาย...”

“วิชาใจเบา” (Lighter)..ถือเป็นหนังสือเชิงประสบการณ์แห่งการปล่อยวาง ด้วยสำนึกคิดทางจิตวิทยา ที่เเลกมาด้วยชีวิตของผู้เขียน..มีความยากหากจะอ่านเพื่อการรับรู้อย่างผิวเผิน แต่ถ้าตั้งใจอ่านเพื่อเก็บคำที่ทรงภูมิรู้จากวิถีแห่งประสบการณ์อันพลิกผันและเข้มข้นแล้ว ก็เชื่อแน่ว่าผลลัพธ์จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ จะสร้าง “พุทธิปัญญา” ทั้งต่อ สมอง กาย และ ใจ ของผู้สดับรู้ทุกผู้ทุกคนได้..

ด้วยรายละเอียดของการแปลและถ่ายทอดความเป็นภาษาไทยอย่างหยั่งรู้ของผู้แปล.. “จีรชาตา เอี่ยมรัศมี” หนังสือแห่งประสบการณ์เรื่องนี้ จึงสร้าง รอยประทับใจที่อิ่มเต็มต่อการฉายส่องชีวิต ในภาพสะท้อนของตัวตนแห่งศรัทธา ที่ยากจะปฏิเสธ หรือข้ามผ่านต่อการรับรู้ไปได้..มันคือฐานรากของการเป็น “ชีวิตที่แท้”

“คนที่เราเคยเป็นเมื่อในอดีต จะคงอยู่ในความทรงจำเท่านั้น คนคนนั้นไม่ใช่ คนที่เราจะย้อนกลับ ไปเป็นได้อีกแล้ว ..!”