คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ/ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย

ในช่วงเวลาแค่หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ปรากฏว่าการแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามีการเปลี่ยนแปลงโฉมไปแล้วหลากหลายฉากด้วยกัน

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน 2024 ก่อนที่จะมีการดีเบตเกิดขึ้นระหว่าง “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” กับ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” บรรดาสำนักโพลต่างก็ออกมาเปิดเผยว่า คะแนนของทั้งสองนักการเมืองนี้มีสูสีคู่คี่กัน!!!

แต่ภายหลังจากการดีเบตจบลง กลับปรากฎว่าคะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เริ่มทยอยร่วงหล่นตกลงไปเรื่อยๆ สืบเนื่องมาจากการประชันฝีปากในครั้งนั้นชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต่างลงความเห็นกันว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไร้ซึ่งความคล่องตัว และแก่เกินที่จะอยู่ต่ออีกหนึ่งสมัยแล้วนั่นเอง

และถึงแม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะพยายามรื้อฟื้นเรียกความมั่นใจของชาวอเมริกันให้กลับคืนมาหาตัวเขาด้วยวิธีต่างๆก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าไร้ผล แถมยังผีซ้ำด้ำพลอยเพราะบรรดานักการเมืองแกนนำของพรรคเดโมแครตหลายๆคน อาทิเช่น “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา”, “วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์”ผู้นำวุฒิสมาชิกในวุฒิสภา, “อดีตประธานสภาแนนซี เพโลซี” ตามติดมาด้วยสมาชิกผู้แทนราษฎรค่ายพรรคเดโมแครตสามสิบคน และ วุฒิสมาชิกในค่ายพรรคเดโมแครตอีกห้าคนออกมาเรียกร้องมิให้เขาไปต่อ

ยกเว้นก็แต่ “อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน”และ “ฮิลลารี คลินตัน” ที่ยังคงออกมาเรียกร้องให้บรรดาผู้สนับสนุนออกมาบริจาคเม็ดเงินให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สู้ต่อไป

ส่วนฉากการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2024  มีผลทำให้ปรอททางการเมืองของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง!!!

แถมการประชุมใหญ่ของค่ายพรรครีพับลิกันระหว่างวันที่ 15 ถึง 18 กรกฎาคม 2024 ที่ผ่านมานี้ ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า บรรดานักการเมืองในค่ายพรรคนี้ต่างผนึกตัวร่วมกันอย่างเหนียวแน่น และหลังจากประชุมพรรคเสร็จสิ้นลง ยังปรากฏให้เห็นอีกด้วยว่า คะแนนนิยมของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ นำหน้าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไปสามเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะในรัฐสวิงที่ แกว่งไปแกว่งมา ไม่เข้าใครออกใคร ทั้งห้ารัฐ

ทั้งนี้ “ศาสตราจารย์ดร.อลัน ลิชท์แมน” ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ แห่ง “มหาวิทยาลัยอเมริกัน” ผู้ที่ทายผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีมาอย่างยาวนานกว่าสี่สิบปี และสามารถทำนายได้อย่างถูกต้องแม่นยำถึง 9 ใน 10 ครั้ง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อ “หนังสือพิมพ์ Houston Chronicles” เมื่อวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคมว่า “การที่นักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครตกว่าสามสิบคนพยายามกดดันให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถอนตัวออกจากการเลือกตั้งนั้น เป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี” และเขายังได้กล่าวว่า “ผลโพลของบรรดาสำนักหยั่งเสียงที่พากันรายงานออกมานั้น มิได้ตรงตามสูตรที่เขาคิดค้นคำนวณออกมาเลย”

อีกทั้งศาสตราจารย์ดร.ลิชท์แมน ยังกล่าวต่อไปอีกว่า “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังมีโอกาสที่จะได้รับชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยยึดหลัก 13 ข้อตามสูตรของข้าพเจ้า”

โดยศาสตราจารย์ดร.ลิชท์แมน ได้เอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์ นักเขียน นักวิเคราะห์ และ บรรดานักการเมืองแกนนำของค่ายพรรคเดโมแครต ในทำนองที่ว่า “เพราะเหตุผลใดที่คนพวกนั้นไม่ยอมให้เครดิตต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่มีประวัติการทำงานเพื่อสหรัฐฯมาอย่างยาวนาน” โดยเขาได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีผลงานในด้านเศรษฐกิจที่แสนจะยอดเยี่ยมที่ได้สร้างความมั่นใจให้แก่ชาวอเมริกัน”

อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดประธานาธิบดีโจ ไบเดนคงจะทนแรงกดดันไม่ไหว แถมยังตามติดมาด้วยยอดเงินบริจาคของเขาลดฮวบลงอย่างน่าใจหาย

เขาจึงออกมาแสดงเจตน์จำนงไม่ไปต่อ ยอมยกธงขาว และได้ส่งมอบงานให้แก่ “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส” เข้าเสียบสานต่อ!!!

เราลองหันมาดูประวัติการทำงานที่ผ่านมาของ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส กันดูบ้าง

รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส  มีอายุ 59 ปี เธอมีอาชีพเป็นทนายความและนักการเมือง และเธอยังเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสตรีและเป็นคนผิวสีคนแรกของสหรัฐอเมริกา

กมลา แฮร์ริส เกิดที่เมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เธอเป็นธิดาของนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน เชื้อสายจาเมกา แห่ง “มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด” มีมารดาชื่อ “นางศยามลา โฆปาลัญ” นักชีววิทยาทางการแพทย์ ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน เชื้อสายอินเดีย

ด้านการศึกษา กมลา แฮร์ริส จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จาก “Harvard University” ที่กรุงวอชิงตัน และจบด้านกฎหมาย จาก “มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย”

ด้านการเมือง กมลาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งอัยการ แห่งเมืองซานฟรานซิสโก มาร่วมเจ็ดปี และได้รับเลือกเป็นอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนีย อีกหกปีระหว่างปีค.ศ. 2011 - 2017

สำหรับเส้นทางชีวิตทางการเมืองระดับประเทศของ กมลา แฮร์ริส  เธอได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง วุฒิสมาชิก รัฐแคลิฟอร์เนีย มานานกว่าสี่ปี ในด้านหน้าที่การงาน เธอสนับสนุนการปฏิรูปทางด้านระบบบริการสุขภาพ การยกเลิกสถานะยาเสพติดของกัญชาในระดับประเทศ เธอทุ่มเทด้านการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารให้ได้รับสถานะพลเมืองของสหรัฐฯ และเธอยังคัดค้านและไม่เห็นด้วยด้านการใช้อาวุธสงคราม

ส่วนการดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในขณะนี้เป็นเวลา 3 ปีกับ 183 วัน แล้ว

ทันทีที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศถอนตัว มีผลทำให้ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส กลายเป็นที่นิยมของบรรดาฐานเสียงผู้ที่ให้การสนับสนุนค่ายพรรคเดโมแครตอย่างท่วมท้นจากทั่วประเทศทุกระดับ!!!

อีกทั้งเงินบริจาคได้หลั่งไหลสนับสนุนรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสเป็นจำนวนมหาศาล โดยเพียง 24 ชั่วโมง เงินสนับสนุนเธอมีถึง 81 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการทำลายเงินบริจาคทีเดียว

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีผู้ที่อยู่ในข่ายรองประธานาธิบดีที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ให้เลือกถึง 10 คน

และในการเดินทางไปเยือน สำนักงานใหญ่หาเสียงที่รัฐเดลาแวร์เมื่อวันจันทร์นี้  รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า “ขณะที่ดิฉันอยู๋ในตำแหน่งอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนีย ดิฉันเรียนรู้ประวัติด้านลบของ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นอย่างดี” และดูเหมือนว่าเธอคงจะเปิดเผยประวัติด้านลบของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ตอนดีเบต

และหากมีการดีเบตปะทะคารมระหว่างรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส กับ ประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นที่แน่นอนว่า ในฐานะที่รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส เคยดำรงตำแหน่งอัยการมาอย่างยาวนาน เธอก็คงจะหยิบยกนำเอาเรื่องราวคดีอาญาทั้ง 4 คดีของประธานาธิบดีทรัมป์ มานำเสนอ เพื่อสร้างคะแนนอย่างแน่นอน

และภายหลังจบสุนทรพจน์ ดร.ดอริส กูดวิน นักประวัติศาสตร์เรืองนามของสหรัฐอเมริกา ได้ให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นว่า ในการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ สหรัฐฯคงจะได้ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ นั่นก็คือ กมลา แฮร์ริส ผู้ที่มีความกล้าหาญและฉลาดเฉียบแหลม

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเวลาของการแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกายังคงเหลืออีกแค่เพียง 101 วัน เท่านั้น และขณะนี้คะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสเริ่มขยับสูงขึ้นเรื่อยๆและโอกาสที่คะแนนนิยมจะพุ่งขึ้นสูงสูสีกับคะแนนของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ย่อมเป็นไปได้สูง เพราะฉะนั้นคงจะต้องจับตาเฝ้าดูกันต่อไปว่าฉากต่อไปรองประธานาธิบดีแฮร์ริสจะเลือกใครจาก 10 คนในตำแหน่งรองและพรรคเดโมแครตจะผนึกพลังกันอย่างเหนียวแน่นในการประชุมใหญ่ของพรรคระหว่างวันที่ 19 ถึง 22 สิงหาคมนี้ที่นครชิกาโกละครับ