เมื่อเวลา 13.50 น. วันที่ 25 ก.ค. 67 ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมหลังศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของสิ้นสุดลงเฉพาะตัวลง กรณีที่ 40 ส.ว. ยื่นคำร้องแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในวันที่ 14 ส.ค.นี้ ว่า ยังไม่ได้เตรียมอะไร เพราะเพิ่งทราบเมื่อวานนี้ก็คอยฟัง

 

เมื่อถามว่า มีการเตรียมคำชี้แจงอย่างไรบ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็มีการเตรียมคำแถลงปิดคดี แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นวันที่เท่าไหร่ ซึ่งเข้าใจว่าภายใน 7 วัน

 

“ส่วนที่หลายคนส่งกำลังใจให้ผม ก็ขอบคุณมากครับ ก็ทำดีที่สุดแล้ว ซึ่งผมส่งข้อมูลไปครบถ้วนทั้งหมดแล้วและอยู่ในระบบ กระบวนการยุติธรรมทั้งหมดแล้ว ก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ ”

 

เมื่อถามว่า นายกฯ ยังมั่นใจเหมือนเดิมใช่หรือไม่ ที่ระบุว่าจะไม่ทำให้การทำงานสะดุด นายกฯ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่ายังทำงานเต็มที่ และมีกำลังใจเต็มเปี่ยมในการทำงาน  

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าในเดือนส.ค.นี้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ ยังเชื่อมั่นในพรรคร่วมรัฐบาลและเสถียรภาพทางการเมืองใช่หรือไม่  นายกฯ  กล่าวว่า “ท่านคงเห็นภาพที่ผมทำกิจกรรมร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลทุก ๆ คน  วิธีการที่เราพูดจากัน มีการพูดคุยกันตลอด การที่เจอกันเยอะในช่วงเดือนมหามงคลก็มีการพูดคุยกันตลอด งานก็ยังเดินหน้าไปได้ด้วยดี อะไรที่ไม่เข้าใจกันก็มีเป็นธรรมดาของการอยู่ร่วมกัน ก็มีการแก้ไขปัญหากันไป”

 

เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยถึงปฏิญญาเขาใหญ่กันบ้างหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่าหมายความว่าอะไร แต่เข้าใจว่ามีภาพของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และภาพของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย เรามีมากกว่าปฏิญญา แต่เป็นสัญญาร่วมกันอยู่แล้ว เพราะเราอยู่ร่วมรัฐบาลเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่งของสองพรรคที่ทำมา 314 เสียง ซึ่งเราพูดมาโดยตลอด ตรงนี้ตนเชื่อมั่นว่า เป็นเรื่องของการไปตีกอล์ฟ ไปออกกำลังกาย ร่วมกันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว และสังคมไทยก็เป็นสังคมที่เราคบหาสมาคมกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ นักการเมือง หรืออดีตนักการเมือง 

 

เมื่อถามว่า ความเห็นต่างเรื่องกัญชา จะไม่ทำให้เกิดความบาดหมางใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนคิดว่าไม่ เพราะเราเอง เราก็เสนอให้ออกเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) และมีการพูดคุยกัน ก็ขอให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่จะต้องดำเนินการต่อไป