วันที่ 23 ก.ค.2567 นางอังคณา นีละไพจิตร สว.กล่าวถึง การได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภา ว่า วันนี้คงได้รู้  และจากที่ดูรายชื่อที่ได้เสนอกันมา ก็จะมีกลุ่มที่เรียกว่า สว. สายสีน้ำเงิน ซึ่งก็เป็นข้าราชการบำนาญทั้งหมด ไม่ได้มีคนธรรมดาเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งตนคงมาในฐานะคนธรรมดา ที่เราเสนอตัวเข้าไป ว่ายินดีและเต็มใจที่จะทำหน้าที่นี้ แต่สุดท้ายคนที่เลือกก็คือวุฒิสมาชิกด้วยกัน ว่าเราจะได้ความไว้วางใจมากน้อยแค่ไหน ซึ่งไม่ว่าจะได้รับเลือกหรือไม่ได้รับเลือก ก็คงทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ

เมื่อถามว่าผลการเลือกครั้งนี้จะเป็นการล็อกกันไว้ล่วงหน้าหรือไม่  นางอังคณากล่าวว่า เรื่องตัวเลขน่าสนใจ ซึ่งจะได้เห็นว่าจะมีตัวเลขจำนวนเท่าไหร่ในการเลือกคนๆหนึ่ง และส่วนตัวในฐานะที่เป็นกลุ่มอิสระ จะได้เห็นว่า เรามีคนที่สนับสนุนเราจริงๆเท่าไหร่ ซึ่งวันนี้คงได้ทราบ

เมื่อถามว่าจะเป็นการสะท้อนอำนาจต่างๆ อย่างไรนั้น นางอังคณา กล่าวว่า  จริงๆ ก็ประมาณแบบนั้น แต่สิ่งที่อยากจะบอกว่าทุกคนที่เข้ามา ตามกฎหมายท่านก็เป็นอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิสระจากทางการเมือง อาจจะเคยทำงานเป็นเครือข่ายด้วยกันมาก่อน แต่การรวมตัวกันโดยที่ไม่มีความยืดหยุ่น ผ่อนปรน และไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามา ก็อาจจะแสดงให้เห็นถึงการปิดโอกาสในการมีส่วนร่วมของวุฒิสมาชิกท่านอื่น  ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การเลือกประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะรวมถึงการเลือกประธานกรรมาธิการในคณะต่างๆ ด้วย ซึ่งก็มีความสำคัญ เพราะมีบทบาทในการเข้าไปตรวจสอบความเดือดร้อนของประชาชน อยากให้ทุกคนช่วยกันจับตามองด้วย

เมื่อถามว่าเสียง สว. พันธุ์ใหม่ค่อนข้างน้อย คาดหวังจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการทำงานอย่างไร นางอังคณา กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้กังวลตัวเลข ว่าน้อยหรือมาก แต่คาดหวังว่าเราอาจจะมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น แต่เสียงที่เป็นเสียงส่วนใหญ่จริงๆ คือเสียงของประชาชนนอกสภา ซึ่งต้องส่งเสียง และในฐานะของวุฒิสภาต้องรับฟังเสียงสะท้อนของประชาชนด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่กฎหมายระบุว่า เป็นวุฒิสมาชิกเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย และทำหน้าที่เพื่อปกป้องประโยชน์ของประเทศและประชาชน

นางอังคณา กล่าวว่า ได้พูดคุยทักทายกับ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์  สว. เกี่ยวกับสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่เคยทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยกันและไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกัน ซึ่งหลังจากนี้น่าจะได้มีโอกาสทำงานร่วมกัน แม้ว่าพลเอกเกรียงไกร อาจจะได้ขึ้นไปในตำแหน่งของประมุขของสภานิติบัญญัติ แต่คงมีแนวทางในการประสานความร่วมมือเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานต่อไป