สำหรับ ปี 2568 นับเป็นปีแห่งความท้าทายของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ที่จะก้าวไปสู่ Amazing Thailand Grand Tourism Year อย่างยิ่งใหญ่ สอดรับนโยบาย IGNITE Thailand’s Tourism ของรัฐบาล ซึ่งทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ทำการตลาดกระตุ้นความต้องการเดินทางท่องเที่ยว ด้วยการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สร้างมาตรฐาน พัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับความต้องการและความคาดหวังของนักท่องเที่ยว ภายใต้การเสริมกำลังซึ่งกันและกันของทุกภาคส่วนแบบ 360 องศา และเดินหน้าสู่ความยั่งยืน เพื่อผลักดันการเติบโตรายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 7.5 สูงกว่าการเติบโตของ GDP ประเทศไทยปี 2568 ถึง 1.7 เท่า โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 39 ล้านคน และดึงไทยเที่ยวไทยมากกว่า 205 ล้านคน-ครั้ง สะท้อนศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่จะเป็นเรือธงอันทรงพลังผลักดันให้เศรษฐกิจไทย สังคมไทย และคนไทยเติบโตไปด้วยกันอย่างมีความสุขและยั่งยืน นำประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางทางการท่องเที่ยวระดับโลก
สร้างความสะดวก รวดเร็ว
โดย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ได้ขับเคลื่อน PASS strategy ว่าด้วยตัว A : Accelerate to Digital World กระตุ้นให้หน่วยงานต่างๆ ของ ททท. รวมถึงพันธมิตรด้านการท่องเที่ยวให้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนี้ และนำ AI เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการ นำมาใช้ในการจัดการ Database
รวมถึงใช้กุสโลบาย สอน AI ให้เรียนรู้ เรื่องดีๆของไทย โดยเฉพาะการใช้ Chat GPT ที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานที่มีความคุ้นเคยกับเครื่องมือเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งเชื่อว่าการใช้ AI หรือ การใช้ Chat GPT ในการจัดการและบริการในมิติต่างๆ ด้านการท่องเที่ยว นอกจากจะตอบโจทย์ความต้องการของนักเดินทางรุ่นใหม่ๆ ที่ไม่ได้เฉพาะนักท่องเที่ยวคนไทย แต่จะสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวจากต่างแดนที่มีความคุ้นเคยกับการใช้บริการผ่าน AI หรือ Ghat GPT มาเป็นอย่างดี รวมถึงการทำให้บริการสร้างความสะดวก รวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
ด้าน นายวรวุฒิ พงษ์ประภาพันธ์ อธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กรมการกงสุลพร้อมอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าให้นักท่องเที่ยว โดยจะขยายการเปิดให้บริการระบบ e-Visa ให้ครบทุกสถานทูต สถานกงสุลไทยภายในปลายปี 2567 รวมทั้งกำหนดมาตรการและแนวทางการตรวจลงตราใหม่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอย่างทันท่วงที ล่าสุดนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามฟรีวีซ่า 93 ประเทศ เป็นเวลา 60 วัน
ซึ่งตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการและแนวทางการตรวจ ลงตราเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ 3 ระยะ (ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว) และสำหรับมาตรการระยะยาว ได้เห็นชอบการพัฒนาระบบ Electronic Travel Authorization (ETA) สำหรับกลุ่มคนต่างด้าว ที่ได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองคนเข้าเมืองและอำนวย ความสะดวกในการเดินทาง
ทั้งนี้ THAI ETA มีลักษณะผสมระหว่าง ETA และ Electronic Arrival Card (EAC) ที่ใช้ในหลายประเทศ โดย คนต่างด้าวที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราจะต้องกรอกข้อมูลเพื่อขอรับ THAI ETA และจะต้องได้รับอนุมัติ ETA เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการตรวจคนเข้าเมือง ณ ด่านผ่านแดนทางบก น้ำ และอากาศ โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบปกติ สำหรับคนต่างด้าวผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา ที่ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา โดยจะสามารถใช้เดินทางเข้าไทยได้ครั้งเดียว แต่มีความยืดหยุ่นในกรณีสุดวิสัย โดยสามารถถึงประเทศไทยได้ 1 วันก่อนหรือหลังวันที่ผู้ร้องแจ้งว่า จะเดินทางเข้าไทย 2. สำหรับ 3 สัญชาติ (เดินทางทางบก) เริ่มใช้มิถุนายน 2567 สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติลาว กัมพูชา มาเลเซียที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและเดินทางเข้าไทยเฉพาะทางบก โดยมีอายุใช้งาน 1 ปีและใช้เดินทางเข้าไทยได้หลายครั้ง
พร้อมอำนวยความสะดวก
ขณะที่ ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า ทอท. ในฐานะผู้บริหารท่าอากาศยานหลัก 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ถือเป็นประตูบานแรกที่ให้การต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลกเข้ามายังประเทศไทย พร้อมอำนวยความสะดวกและให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนภารกิจในการต้อนรับนักเดินทาง เพื่อดึงดูดให้มีนักท่องเที่ยวมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นการนำเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ สร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมต่อไป