เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 19 ก.ค. 67 ที่ห้องกำปั่นทอง ชั้น 21 อาคาร 150 ปี กระทรวงการคลัง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการศูนย์กลางการเงิน (Financial Hub) ภายใต้หัวข้อ Ignite Finance: Thailand’s Vision for a Global Financial Hub เปิดทางนำไทยสู่ศูนย์กลางการเงินโลก ซึ่งกระทรวงการคลังจัดขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์ “Ignite Thailand” โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ผู้บริหารกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และผู้นำจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน
จากนั้นนายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า สิ่ง รมต.นำเสนอ Vision ว่า เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศให้เติบโตจากภาคการผลิตไปสู่ภาคการบริการที่มีมูลค่าสูงมากยิ่งขึ้น โดยอุตสาหกรรมการเงินของไทยช่วงที่ผ่านมา มีความแข็งแกร่งจากเศรษฐกิจฝั่งภาคการผลิต การท่องเที่ยวในประเทศ ทั้งนี้การพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศ ไม่เพียงพอที่จะยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมของไทยได้เร็ว จึงจำเป็นที่จะต้องรับอุตสาหกรรมการเงิน การลงทุน การธนาคาร ซึ่งกลยุทธ์หลักที่รมต.ได้นำเสนอคือ การเปิดรับเงินนอกเข้ามาอยู่ในประเทศ
นายกฯ กล่าวว่า ทั้งนี้หัวใจของการสร้างอุตสาหกรรมนี้ คือ การมีกฎหมายที่ชัดเจนสำหรับการดำเนินธุรกิจ และการมี Facility สำหรับคนทำงานที่ดีพอ ซึ่งมั่นใจว่า Facility ต่าง ๆ ในประเทศไทยนั้น World Class ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร โรงพยาบาล โรงเรียน international สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
นายกฯ กล่าวว่า กฎหมายที่ รมต.ได้กล่าวไป ทั้งการตั้ง One-stop service การมีสิทธิประโยชน์ การให้ความชัดเจนของการบริหารเงินทุน จะเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ไทยเติบโตไปเป็น Financial Frontier ของภูมิภาคได้ ขณะเดียวกันการผลักดัน Innovation ใหม่ ๆ ทางระบบการเงิน ไม่ว่าจะเป็น Virtual Bank หรือการค้ำประกันสินเชื่อ จะเป็นการสร้าง Inclusive Innovation ด้านการเงินให้กับคนไทย ทำให้เข้าถึงระบบการเงินได้สะดวกยิ่งขึ้น นำไปสู่การลงทุน การสร้างงาน การหาเงินเลี้ยงครอบครัว และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคนได้ในที่สุด
นายกฯ กล่าวว่า Ecosystem ไม่ได้มีแค่ธนาคาร การลงทุน หลักทรัพย์ หรือ Virtual Bank เท่านั้น แต่ยังมีภาคบริการที่เป็น Professional Service อีกหลาย ๆ อย่างที่จะเติบโตไปด้วยกัน เช่น ที่ปรึกษากลยุทธ์ ที่ปรึกษากฎหมาย ที่ปรึกษาเทคโนโลยี และที่ปรึกษาการลงทุน เป็นต้น การที่ Ecosystem นี้เติบโตไปด้วยกัน นอกจากจะสร้างงานให้คนไทยได้ทำงานในบริษัทชั้นนำระดับโลก ยังเป็นการเชื่อมต่อระหว่างภาคธุรกิจไทยไปยังตลาดโลก ผ่านองค์ความรู้ ความสามารถ และเครือข่าย (Network) ของบริษัท Professional Service เหล่านี้อีกด้วย
นายกฯ กล่าวว่า การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ไม่ใช่สร้างประโยชน์ให้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินเพียงอย่างเดียว แต่คือกลยุทธ์ที่ประเทศไทยจะดึงดูดเงินทุน คนที่มีความรู้ความสามารถ ตลอดจนองค์ความรู้ให้เข้ามาอยู่ในประเทศ สร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจของโลกและประเทศไทย นโยบายนี้เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยที่ไม่ต้องใช้งบประมาณลงทุน และมีผลตอบแทนมหาศาลต่อประเทศและคุ้มค่าอย่างยิ่งต่อการเดินหน้าเต็มที่
จากนั้นนายกฯ พร้อมด้วย รมต. ผู้บริหารกระทรวงการคลัง ได้ทำพิธีเปิดโครงการ Ignite Finance