“สมศักดิ์” เผยคกก.พัฒนาศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ เคาะ ยุทธศาสตร์ Medical Hub พ.ศ.2568 - 2577 หวังยกระดับไทย เป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพโลก ชี้ ต่อยอดจากรัฐบาล”อดีตนายกฯทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” เพราะเล็งเห็นสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้
วันที่ 18 กรกฎาคม 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ครั้งที่ 1/2567 โดยมี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายกิตติกร โล่ห์สุนทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และคณะกรรมการ เข้าร่วมประชุม ที่กระทรวงสาธารณสุข
โดยนายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) พ.ศ.2568 - 2577 ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการบริการสุขภาพใน 4 ด้านหลัก คือ ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) ศูนย์กลางการรักษาพยาบาล (Service Hub) ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย (Academic Hub) และศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub) เพื่อให้ประเทศไทย เป็นจุดหมายปลายทางสุขภาพโลก และเป็นศูนย์กลางสุขภาพ พร้อมเป็นอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรของโลก โดยการมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์ฯ ได้มีการทบทวนยุทธศาสตร์ฯของเดิม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร พัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์ ซึ่งจากนี้ ก็จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
“ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรในกิจการนวดไทยและสปา รวมถึงการบริโภคทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ ผมก็ได้เน้นย้ำในที่ประชุม สปสช.ให้เพิ่มการใช้สมุนไพรไทยมากขึ้นอีก 50% แล้ว โดยเรื่อง Medical Hub นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เร่งรัด เพราะมีความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการหารายได้เข้าประเทศ ผมจึงขอให้กรรมการ และอนุกรรมการ ช่วยกันขับเคลื่อนงานอย่างเร่งด่วนด้วย” รมว.สาธารณสุข กล่าว
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า แนวคิดการดำเนินการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2547 ในสมัยรัฐบาล อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร และมาเป็นรูปร่าง ในปี 2557 ในสมัยรัฐบาล อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ พ.ศ.2559-2568 และหลังจากห่างหายไปนาน รัฐบาลนี้ ก็ได้หยิบมาขับเคลื่อนต่อ เพราะเห็นว่า สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ บนพื้นฐานของความแข็งแกร่งด้านระบบสาธารณสุขของไทย ตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า สาระสำคัญของการเห็นชอบยุทธศาสตร์ฯวันนี้ คือ การทบทวนยุทธศาสตร์ จาก 7 ข้อ เหลือเพียง 3 ข้อ 1.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร 2.พัฒนาระบบนิเวศ และ 3.ส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์ โดยการส่งเสริมเป็นศูนย์กลางสุขภาพ จะช่วยเพิ่มรายได้ เพราะในอดีตผู้ป่วยเป็นไข้ จะฉีดยา และไม่กลับมาอีก แต่ในศูนย์กลางสุขภาพ จะมีอย่างอื่นด้วย เช่น นวด สปา ก็จะเพิ่มทางเลือกให้ใช้บริการได้อีกด้วย