วันที่ 18 ก.ค.2567 เวลา 12.45 น. ที่รัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมหลังศาลรัฐธรรมนูญนัดหมายวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลวันที่ 7 ส.ค.นี้ว่า ขอให้ความเห็นในฐานะรองประธานสภาฯการยุบพรรคการเมืองเป็นการทำลายเจตนารมย์ของประชาชน และทำให้สถาบันนิติบัญญัติอ่อนแอ โดยเฉพาะประเทศใดก็ตามที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการยุบพรรคฝ่ายค้าน จะทำให้กลไกการตรวจสอบรัฐบาล กลไกที่รักษาสิทธิ์ของพี่น้องประชาชนก็จะบกพร่องไปด้วย
“ผมจึงกังวลว่าหน้าตาของสภาฯจะเป็นอย่างไรหากพรรคก้าวไกลถูกยุบ การตรวจสอบสมดุลฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติจะเป็นอย่างไร ซึ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ในประเทศ เราจะต้องชี้แจงกับสภานานาชาติ ( Inter Parliament Union ) ให้ได้ ซึ่งเพื่อนสมาชิกสภาฯหลายประเทศก็กังวลในเรื่องนี้ ผมเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ผมยังคงมั่นใจในอดีตเพื่อนพรรคก้าวไกลว่ามีน้ำหนักมากพอโดยเฉพาะเรื่องคำร้องของ กกต. ซึ่งวิญญูชน สื่อมวลชน นักวิชาการต่างๆก็คงมีคำวินิจฉัยของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในวันที่ 7 ส.ค.หาคมตนก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องกังวล”นายปดิพัทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่าเสียดายตำแหน่งรองประธานสภาณ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า คิดว่าความตั้งใจตามที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชนได้ทำเกือบทุกข้อแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเรื่องที่อาจจะต้องใช้เวลา อย่างเช่นการปฏิรูปโครงสร้างของรัฐสภาที่ปลายปีนี้จะมีโครงสร้างใหม่ อะไรที่ซ้ำซ้อนระหว่างสภาฯ และวุฒิสภาก็จะถูกตัดออกไป รวมทั้งโครงการที่ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลฯ และโครงการอื่นๆ ซึ่งจะสำเร็จได้ก็คงต้องอยู่ในความเป็นผู้นำของหัวหน้าองค์กรในอนาคต
เมื่อถามว่าโควตาของรองประธานสภาฯเป็นของพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ เพราะขณะนี้ฝ่ายรัฐบาลก็มีเสียงข้างมากในสภาฯ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า แน่นอน ตำแหน่งรองประธานสภาฯจะต้องเป็นสส. เมื่อตนถูกตัดสิทธิ์ตำแหน่งก็จะต้องยุติลง แต่ทั้งหมดก็อยู่ที่การตัดสินใจของสภาฯ ซึ่งตนเชื่อว่าจะมีการกระบวนการสรรหาอถูกต้อง