วันที่ 15 กรกฎาคม ที่กระทรวงกลาโหม นายสุทิน คลังแสง รมว. กลาโหม และส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้บรรยายให้นักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) รุ่นที่ 1 ที่ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม โดยมี น.ส. แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เรียนรุ่นนี้ ร่วมรับฟังด้วย
นายสุทิน กล่าวถึงสถานการณ์ภัยคุกคามภายในและภายนอกประเทศ พร้อมนโยบายการปรับโครงสร้างกองทัพ การลดกำลังพล ยุบ และโอนหน่วย รวมทั้งการสนับสนุนงานของรัฐบาลในนโยบายต่างๆ โดยกำลังทบทวนเรื่องการลดกำลังพลว่าในสถานการณ์โลกนี้ประเทศอื่นๆหันมาเกณฑ์ทหารและเพิ่มกำลังพลเพิ่มอาวุธยุทโธปกรณ์ด้านกองทัพเราต้องมานั่งทบทวนด้วยว่าเราจะลดกำลังพลอย่างไรไม่ให้กระทบความมั่นคง
นายสุทิน กล่าวด้วยว่าจะเดินหน้ารถกำลังพลระดับนายพลลงในปี 2568 ถึง 2570 ให้กองทัพสเลนเดอร์มากขึ้น นอกจากนี้จะเดินหน้าระบบการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์แบบรวมศูนย์หรือแบบ package โดยในสัปดาห์หน้าจัดตั้งคณะกรรมการศึกษาเรื่องนี้เพื่อให้การจัดจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพเป็นไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกันในเรื่องของงบประมาณและการส่งกำลังบำรุง
นอกจากนี้ยังสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศฝีมือคนไทยโดยมีนโยบายสั่งการว่าหากมีการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่สามารถผลิตได้เองในประเทศไทยก็ให้ซื้อจากในประเทศแต่หากต้องพิจารณาเรื่องสมรรถนะกับต่างประเทศก็ขอให้พิจารณาจัดซื้อยุทธโธปกรณ์ที่ผลิตในประเทศอย่างน้อย 30%
จากนั้น นักศึกษาได้สอบถามถึงนโยบาลลดกำลังพลตามกระแสอาจไม่สอดคล้องกับบรรยากาศและภัยคุกคามของโลก โดย นายสุทิน ยอมรับว่า ประเทศของเรามีกระแสการเมืองให้ลดกำลังพล พรรคของตนก็มีนโยบายนี้ แต่ยืนยันว่า การลดกำลังพลในแบบฉบับของรัฐบาลจะไม่กระทบต่อสมรรถนะของกองทัพในเรื่องขวัญกำลังใจ
“เพราะนักรบจะอยู่ได้ด้วยขวัญกำลังใจ ถ้าขวัญดีก็เป็นเสือ ถ้าขวัญเสียก็เป็นแมว ”
วิธีการลดกำลังพลจึงทำแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่กระทบกำลังใจ และจะใช้วิธีการ early retirement เป็นโช้คอัพ รองรับ
“ผมเคยเล่าให้สภาฯฟังว่า ได้ไปประชุมในหลายวิธีทั้งอาเซียนและอินโด แปซิฟิค ยังไม่เห็นประเทศไหนลดกำลังพล และตรงกันข้าม ในสภาพความมั่นคงและสิ่งแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนไป จะเห็นได้ว่าบรรยากาศของโลกๅหลายประเทศเริ่มกลับมาสร้างกองทัพ มีการสะสมอาวุธ และ กำลังพล จึงมีคำถามว่าเรากำลังสวนทางกับโลกหรือเปล่า
ผมจึงทิ้งประเด็นไว้ในสภาว่า สักวันหนึงจะเชิญ ทุกพรรค ทุกคนมาทบทวนเรื่องนี้ แต่วันนี้มีนโยบายเช่นนี้ ก็เดินต่อไปก่อน โดยจะทำให้กระทบสมรรถนะน้อยที่สุด แต่ผมเชื่อว่าถึงจุดหนึ่งเราลดไม่ได้ ถ้าภัยมาถึง”
นายสุทิน กล่าวว่า เมื่อไปดูตัวเลขกำลังพลในอาเซียนซึ่งเคยเป็นภัยคุกคามของเรา อย่างประเทศเวียดนามมีกำลังพลมากที่สุดของโลก ทั้งประจำการสำรอง กองหนุนที่ 5.8 ล้านคนของไทย 5.8 แสนคน เมื่อเทียบกับประเทศที่มีไซ้ส์ เดียวกับเราอยู่ในระดับที่กลางๆ นโยบายนี้อาจจะต้องทบทวนหรือถ้าเดินไปก็ต้องทำควบคู่กัน ต้องไม่สวนทางกับการเสริมสร้างสมรรถนะ ไม่ใช่ตะบี้ตะบันทำ
สำหรับคำถามต่อนโยบายการให้ความสำคัญทหารชั้นยศนายสิบซึ่งถือเป็นกำลังหลักในการปฏิบัติทางทหารน้อยกว่าพลทหาร กับ นายทหารชั้นนายพล นั้น รมว. กลาโหม กล่าวว่า ถือเป็นกำลังพลที่มีศักยภาพ และถือเป็นน้องคนกลางที่เชื่อมต่อระหว่างน้องคนเล็กคือพลทหารกับพี่กับพ่อที่เป็นนายพลได้เป็นอย่างดี ตนให้นโยบายกับโรงเรียนนายสิบหลายเรื่อง สิ่งที่อยากจะทำคือเติมเรื่องการศึกษาให้มากที่สุดทั้งเรื่องทักษะในการทำงาน บทบาทหน้าที่ทหาร การรบ การทำงานหรือความรู้ทั่วไปที่ทำให้ทหารสามารถประกอบอาชีพเสริมได้
นายสุทิน ยังกล่าวถึงการปัญหาของการเป็น รมว. กลาโหมพลเรือนว่า ในตอนแรกก็มีอุปสรรค เพราะมาด้วยความเป็นนักการเมืองไม่มีความรู้ต่างๆ จะมีอย่างเดียวก็คือนามสกุลที่พอไปได้ แถมก่อนหน้านี้จุดยืนก็ไม่ค่อยจากสอดคล้องกับกองทัพเท่าไหร่ แต่พอเข้ามาจริงๆ คิดว่ากองทัพให้ความร่วมมือดีมากแล้วก็มีความสุขกับการทำงานจะมีปัญหาอยู่บ้างก็คือไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับกองทัพ แต่เป็นปัญหาข้างนอกที่อาจจะไม่ให้ความเชื่อมั่นและอาจไม่ยอมรับกันเอง