เมื่อวันที่ 12 ก.ค.67 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเนติบัณฑิตยสภาจะดำเนินการเลือกตั้งคณะกรรมการเนติบัณฑิตยสภาชุดใหม่แทนคณะกรรมการชุดเดิมที่จะหมดวาระลงในช่วงเดือน ก.ย.นี้ โดยมีกำหนดส่งบัตรเลือกตั้งให้สมาชิกวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยให้ส่งบัตรลงคะเเนนคืนภายในวันที่ 30 ส.ค. ก่อนเวลา 16.30 น.เเละตรวจนับคะเเนนวันที่ 31 ส.ค.ตั้งเเต่ช่วงเช้าจนเเล้วเสร็จ 

ทั้งนี้บัตรเลือกตั้งกรรมการเนติฯจะมี4ประเภทดังนี้

1.บัตรสีฟ้าเป็นประเภทข้าราชการตุลาการ
2.สีชมพูเป็นประเภทข้าราชการอัยการ
3.สีเหลืองเป็นประเภททนายความ
4.สีเขียวเป็นประเภทบุคคลอื่น

โดยภายในซองบัตรเลือกเลือกตั้งแต่ละประเภทจะประกอบด้วยบัญชีรายชื่อสามัญสมาชิกผู้มีสิทธิ์ได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการเนติฯ และส่งไปรษณีย์สำหรับใส่บัตรเลือกตั้งเพื่อส่งกลับมายังเนติบัณฑิตยสภา ซึ่งสามารถเลือกตั้งกรรมการเนติฯจากบุคคลในประเภทของตนจำนวนไม่เกิน 5 คน

สำหรับเนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปภัมภ์ เป็นสภาวิชาชีพนักกฎหมายเป็นองค์กรอิสระ ที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล ถือเป็นสถาบันสำคัญที่มีบทบาทส่งเสริมการศึกษาและการวิจัยด้านวิชาการของการประกอบอาชีพทางกฎหมายรวมทั้งจัดหาทุน ส่งเสริมความสามัคคีและผดุงเกียรติของสมาชิก รวมถึงมีการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย

มีคณะกรรมการ 23 คนประกอบด้วยประธานศาลฎีกา เป็นนายกเนติบัณฑิตยสภา  ประธานศาลอุทธรณ์ เป็นอุปนายกฯคนที่ 1 และอัยการสูงสุด เป็นอุปนายกฯคนที่ 2 คณะกรรมการที่เหลือ20คนมาจากการเลือกตั้งจาก สายตุลาการ อัยการ ทนายความ เเละบุคคลอื่น สายละ 5 คน โดยกรรมการมีวาระ4ปี 

สำหรับปีนี้เนติบัณฑิตสายทนายความจะได้รับตำเเหน่ง เลขาธิการเนติบัณฑิตยสภา เเละเลขาธิการสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา จึงเป็นสายที่มีการเเข่งขันดุเดือดกว่าสายอื่น โดยเเต่ละสายมีที่น่าสนใจดังนี้ 

ที่น่าจับตามองของสายศาลจะเป็นผู้พิพากษาสายวิชาการที่เป็นอาจารย์สอนในเนติฯ มาหลายสิบปีเต็งหนึ่งคงไม่พ้น นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์ เบอร์ 1 ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลเเพ่งตลิ่งชัน เป็นนักวิชาการชื่อดัง เขียนตำรากฎหมายหลายเล่ม เป็นกรรมการเนติฯหลายสมัย เคยเป็นทั้ง เลขาธิการสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เเละรองเลขาฯเป็นที่ชมชอบของผู้พิพากษาชั้นผู้ใหญ่ เเละผู้พิพากษาใหม่ๆ  

ต่อไปคือ นาย เอื้อน ขุนแก้ว เบอร์ 4 ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ คดีชำนัญพิเศษ สอบได้อันดับ 1 เนติฯ และผู้ช่วยฯ รุ่น 32 เป็นผู้พิพากษาสายวิชาการที่เขียนตำราหลายเล่ม โดดเด่นในกฎหมายล้มละลาย ลูกศิษย์ให้ความชื่นชอบ  

อีกคนที่ลงสนามไหนในศาลไม่เคยพลาดคือ นายชูชัย วิริยะสุนทรวงศ์ เบอร์7 อดีต ประธานศาลอุทธรณ์จะเห็นว่าหากมีการเลือกตั้ง ก.ต.ในศาล นายชูชัย ก็ได้รับเลือกมาตลอดทุกครั้ง และช่วงที่นั่งเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ซึ่งตรงกับช่วงที่มีม็อบราษฎรมาชุมนุมหน้าศาลอาญาเรียกร้องให้ปล่อยผู้ชุมนุม ก็ได้รับการชื่นชมเรื่องการประเมิณสถานการณ์ในการบริหารจัดการคดีสำคัญต่างๆ เช่น คดีการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ จนทำให้สถานการณ์ที่มีการชุมนุมหน้าศาลเบาบางลง ถือเป็นผู้ใหญ่ใจดีเเต่ก็มีความกล้าหาญในการตัดสินใจ อย่างคดีที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง 21 พธม.ปิดล้อมสภา นายชูชัย ในฐานะประธานศาลอุทธรณ์ได้ทำความเห็นแย้งไว้ 32 หน้ากระดาษ  ยังมีความเป็นนักบริหารที่เคยดำรงตำเเหน่งสำคัญ มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 5 ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา

ส่วนอีก2 คนที่น่าสนใจ ได้เเก่ นายสุวิชา สุขเกษมหทัยเบอร์ 3 ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ประจำกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลซึ่งล่าสุดได้รับเลือกตั้งให้เป็นคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ยังเคยได้รับเลือกจากผู้พิพากษาเป็น ก.ต.ศาลชั้นต้น เเละเคยดำรงตำเเหน่ง อ.ก.ต.มีผลงานร่วมผลักดันให้ขยายวาระในการดำรงตำแหน่งของศาลชั้นต้นจาก 5 ปีเป็น 6 ปี และคัดถ่ายคำพิพากษาเป็น 10 วันทำการ เคยเป็น คกก.สอบข้อเท็จจริงในกรณีผู้พิพากษายิงตัวเอง สมัยเป็นรองอธิบดีอธิบดีผู้พิพากษาศาลเเพ่ง ซึ่งดูแลทางด้านงานไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท และงานจัดการมรดก รวมทั้งคดีทั่วไป ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เเละในสมัยผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญาเคยนั่งเป็นองค์คณะพิจารณาคดีสำคัญหลายคดี อาทิไต่สวนเเกนนำราษฎร ละเมิดอำนาจศาล เป็นอดีต วิทยากรผู้บรรยายหลักสูตรอบรมของผู้พิพากษา ตั้งแต่ระดับหัวหน้าศาลจนกระทั่งผู้ช่วยผู้พิพากษา จึงมีฐานเสียงค่อนข้างดี  

ส่วนอีกคนคือ นายพงษ์เดช วานิชกิตติกูล เบอร์ 8 ดีกรีอดีตเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนนโยบายในยุคนางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกาที่ผลักดันนโยบายสำคัญเกี่ยวกับการคืนสิทธิการประกันตัวด้วยนิยามที่ว่าคุกไม่ได้มีไว้ขังคนจน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการตั้งผู้กำกับดูเเล หรือคำร้องใบเดียวเเละการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ก็มีลุ้นน่าจับตา

ในสายของอัยการก็มีที่น่าจับตามองไม่เเพ้กันโดยตัวเต็ง 1 ยังคงเป็นนายประยุทธ เพชรคุณ ผู้สมัครเบอร์ 5 รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ซึ่งเป็นโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด คนปัจจุบัน ฉายานักรบภูธร ซึ่งมาจากการได้คะเเนนสูงสุดจากการเลือกตั้งคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ที่ผ่านมา เป็นคนที่มีความนิยมในหมู่อัยการสายต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคอีสาน จนได้ฉายานักรบภูธรมีบทบาทเป็นที่รู้จักรับหน้าที่เเถลงคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเเละคดีนักการเมืองระดับสูง หรือคดีใหญ่สะเทือนขวัญ สำคัญหลายคดี ให้เกิดความชัดเจน รวมถึงมีบทบาทการสร้างภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือขององค์กรเป็นอย่างมาก  นายประยุทธ ได้รับไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้บริหาร เพราะสำนักงานคดีพิเศษเป็นสำนักงานที่รับพิจารณาสำนวนคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ และคดีป้องกันและปราบ ปรามการฟอกเงิน หรือปปง.ซึ่งรวมถึงคดีการเมืองเเละการชุมนุมของม๊อบการเมืองต่างๆสำนักงานดังกล่าวจึงมีบทบาทสำคัญ 

นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้สมัครเบอร์6 รองเลขานุการอัยการสูงสุด เป็นอัยการชั้น 5 ระดับผู้เชี่ยวชาญคนแรกที่สร้างประวัติศาสตร์ชนะการเลือกตั้งได้เป็นคณะกรรมการผํ้ทรงคุณวุฒิ (ก.อ.) ดีกรีเป็น ปธ.อัยการจังหวัดรุ่น 39 เป็นคนไฟแรง รับปากใครทำจริง มีความสามารถทั้งด้านงานวิชาการ เเละงานคดี จากผลงานในการเป็น ก.อ.ที่ผ่านมา เป็นคนร่วมร่างระเบียบการโยกย้ายเเต่งตั้งอัยการ เเละเป็น ก.อ.ที่ประชาสัมพันธ์ผลงานในการประชุม ก.อ.เเต่ละครั้งซึ่งมีข้อมูลอันเป็นประโยชน์โดยทั่วถึงครอบคลุมทำให้อัยการทั่วประเทศได้รับทราบข่าวสารของการประชุม ก.อ.รวมถึงยัง ผลักดันเพิ่มอัตราผู้กลั่นกรอง ทำให้มีอัตรากำลังออกต่างจังหวัดมากขึ้น เป็นอัยการนักวิชาการกล้าพูดในสิ่งที่ตรงไปตรงมาถึงเรื่องที่ควรเป็นในองค์กรอัยการ นับเป็นอัยการที่เป็นตัวเเทนที่จะได้ใจอัยการรุ่นใหม่ มีจุดเด่นเรื่องการทำงานที่รวดเร็วจริงจัง เป็นประโยชน์อย่างมาก  ทั้งก่อนหน้านี้เมื่อสมัยโอนไปเป็นข้าราชการในสังกัด ปปง.เเละดีเอสไอเคยเป็นมือทำคดีที่คุมคดีสำคัญหลายคดีจนโอนกลับมาเป็นอัยการ 

นายโกวิท ศรีไพโรจน์ ผู้สมัครเบอร์ 1  อธิบดีอัยการสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายอัยการ(สพอ.) หรือครูใหญ่โรงเรียนอัยการ โดยมีบทบาทในการจัดอบรมบรรยายปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรบทบาทหน้าที่ของอัยการผู้ช่วยที่สอบได้รวมถึงพัฒนาเพิ่มพูลทักษะของข้าราชการอัยการทั้งหมด ซึ่งทำให้รู้จักอัยการรุ่นใหม่ที่ผ่านเข้าอบรมจำนวนมากหากลงเลือกตั้งคาดว่าได้คะแนนนิยม ทั้งนี้ นายโกวิท เป็นอัยการสายบู๊ ดูงานคดีลูกหม้อสำนักงานคดีพิเศษเก่า เคยรับผิดชอบคดีม็อบการเมืองและคดีผู้มีอิทธิพลสำคัญก่อนย้ายกลับไปภาคใต้ มีบทบาทในเรื่องคดีที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและคดีเจ้าหน้าที่รัฐประพฤติมิชอบสมัยเป็นอธิบดีอัยการปราบปรามทุจริตญภาค 8 ทำให้ชื่อเสียงนายโกวิทในภาคใต้เป็นที่นิยม หรือกระทั่งบทบาทในการนั่งครูใหญ่โรงเรียนอัยการ ก็จัดการอบรมหลักสูตรสำคัญๆ สร้างบุคลากรคุณภาพ ที่สำคัญ เป็นคิวที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดในอนาคต ฐานเสียงก็จะมาจากผู้เข้าร่วมอบรมเเละอัยการในพื้นที่ภาคใต้

นายสุรเชษฐ์ งามวงศ์ ผู้สมัครเบอร์9 รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีเศรษฐกิจ  ที่รับสำนวนคดีเศรษฐกิจที่มีความซับซ้อนก่อนหน้านี้สมัยเป็นอัยการจังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็นจังหวะกสำคัญที่มีคดีสำคัญจำนวนมาก พอเข้าระดับฝ่ายก็มาอยู่ที่ที่สำนักงานอัยการคดีศาลสูงเเละสำนักงานคดีพิเศษซึ่งถือเป็นสำนักงานเกรดเอ เป็นอัยการมีฝีมือ ที่ผู้ใหญ่ไว้เนื้อเชื่อใจให้อยู่สำนักงานสำคัญมาโดยตลอด  ด้วยความที่เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถเเละยังเป็นที่รักของน้องๆเพื่อนฝูง รวมถึงมีบทบาทเป็นสื่อกลาง ในการทำงานทั้งในองค์กรเเละนอกองค์กร อย่างถ้ามีการถ้าประชุมกับหน่วยงานต่างๆ ภายนอกอย่างเช่นศาลยุติธรรมนายสุรเชษฐ์ ก็มักจะได้รับความไว้วางใจในการทำหน้าที่ ฐานเสียงก็จะมีทั้งในภาคใต้เนื่องจากเคยเป็นอัยการจังหวัดนาทวี เเละในพื้นที่สำนักงานอัยการภาค 1 เเละภาค2ก็เป็นที่รู้จักเป็นคนที่อัยการรุ่นน้องสามารถมาถามหารือได้เนื่องจากมีความรู้ความสามารถ เเละมีมนุษย์สัมพันธ์ ที่ผ่านมาก็ช่วยสนับสนุนกิจกรรมของอัยการตลอดไม่ว่าจะด้านกีฬาหรือวิชาการ

น.ส.สุภาภรณ์ นิปวณิชย์ หรืออัยการดาว ผู้สมัครเบอร์ 10 อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดียาเสพติด 9 อดีตอัยการชื่อดังเจ้าของสำนวนคดีเเตงโมดาราสาวตกเรือเสียชีวิต เป็นอัยการผู้ช่วยรุ่นเดียวกับ นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ รองเลขานุการอัยการสูงสุด บทบาทในองค์กรอัยการเป็นอัยการคนตรง กล้าพูดความจริง มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้อง เพื่อนๆร่วมงาน จนผู้ใหญ่ในองค์กรหลายรุ่นให้ความไว้เนื้อเชื่อใจมองภารกิจสำคัญ เเละยังมีชื่อเสียงหน้าสื่อมวลชน เมื่อครั้งที่องค์กรหรือผู้บริหารในองค์กรโดนโจมตีด้วยข้อมูลผิดๆก็กล้าที่จะออกมาให้ความเห็นในการปกป้ององค์กร เเละยังเป็นอัยการที่หน่วยงานภายนอกให้ความสำคัญในความสามารถ เช่น ตำรวจเเละ ปปส. เชิญตัวไปบรรยายโครงการพัฒนาศักยภาพการสืบสวนสอบสวนขยายผลเพื่อการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดทั้ง 3 รุ่น นอกจากนี้ยังมีบทบาทในเนติบัณฑิตเป็นอนุกรรมการ ช่วยงานด้านประชาสัมพันธ์ จุลสารเนติบัณทิต และกิจกรรมเกี่ยวกับเนติในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งเขียนบทความเกี่ยวกับกฎหมายที่สังคมสนใจ

ส่วนสายบุคคลทั่วไปซึ่งเป็นสายที่คาดว่าจะมีสมาชิกที่ลงคะเเนนมากที่สุด เพราะประกอบไปด้วยผู้มีความรู้ทางกฎหมายในหลายหน่วยงานที่ไม่ได้อยู่ใน3ประเภทข้างต้น ซึ่งผู้มีสิทธิลงคะเเนนส่วนใหญ่ก็จะรับราชการตามหน่วยงานต่างๆ ซึ่งในสายบุคคลทั่วไปที่น่าจับตามองมากที่สุด คงไม่พ้น  ศาสตราจารย์พิเศษอรรถพล ใหญ่สว่าง เยอร์ 2 อดีตอัยการสูงสุด ที่ยังมีบารมีได้รับความนับถือเเละนิยมในหมู่อัยการอย่างสูง สังเกตุได้จากการลงเลือกตั้งเเต่ละครั้งในองค์กรอัยการเเละนอกองค์กรก็จะได้รับความนิยมในหมู่นักกฎหมาย เเละลูกศิษย์ เนื่องจากบุคคลิกเป็นผู้ใหญ่ใจดีมีความเมตตาสูง นอกจากความเป็นนักกฎหมายระดับตำนานเเล้ว ในวงการการศึกษาก็ได้รับการยอมรับอย่างสูง ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยพะเยา เเล้าสุดได้รับโปรดเกล้าฯเป็นกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาประเภทผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเรื่องการศึกษาถือเป็นหัวใจสำคัญของเนติบัณฑิต ซึ่งศ.พิเศษ อรรถพลมีลูกศิษย์นักกฎหมายที่มีจำนวนมากที่ยังนับถือไม่เสื่อมคลาย เเละยังเป็นอาจารย์สอนที่เนติบัณฑิตยสภามาอย่างยาวนานหลายสิบปี ปีนี้ไม่ได้ลงเเข่งเเบบทีมเเต่ควงคู่  นายไพรัช วรปานิ เบอร์3 ดีกรีอดีตกรรมการอัยการ 4 สมัย อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี อดีตที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎรอดีตที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ,อดีตที่ปรึกษากฎหมาย กสทช.ซึ่งทั้งสองมีความสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่งเคยทำงานร่วมกันในการเป็นกรรมการอัยการหลายสมัย ในครั้งนั้นได้ร่วมกันเสนอแนวคิดเพื่อพัฒนาองค์กรอัยการในครั้งนี้จึงลงสมัครหาเสียงคู่เพื่อพัฒนาเนติบัณฑิตยสภา  

ที่น่าจับตามองมากอีกคนคือ ดร.เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ เเห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปรมาจารย์ด้านวิ.อาญาที่เเต่งตำราหนังสือคุณภาพหลายเล่ม ที่มีลูกศิษย์ให้ความเคารพนับถือทั่วประเทศ คนนี้อย่างไรก็ได้รับเลือกส่วนคะเเนนจะมาอันดับ 1 ได้ไหมต้องลุ้นเเข่งกับ ศ.พิเศษ อรรถพล ส่วนอีก2 คนที่น่าจะมาเเรงก็ได้เเก่ นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ดีกรีจบ ดร.กฎหมายฝรั่งเศษ คำวิจนิจฉัยส่วนตัว ซึ่งช่วงหลังได้รับความขื่นชมเนื่องจากคำวินิจฉัยส่วนตัวเป็นไปตามหลักกฎหมาย มีลูกศิษย์ จำนวนมาก เพราะสอนกฎหมายทั้งเนติบัณฑิตเเละมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงเคยบรรยายพิเศษโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เเละอีกคนคือ นายสมชาย จุลนิติ์ อดีตหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ซึ่งจะได้เปรียบตรงสอนเนติบัณฑิตมานานเครือข่ายลูกศิษย์ที่ลงคะเเนนได้ จะมีจำนวนมาก 

ในสายทนายความครั้งนี้จะมีผู้สมัครมากกว่าสายไหน รวมกันมากถึง 20 คนเเต่ตัวเต็งที่น่าจะได้รับเลือกคงไม่พ้น 2 อดีตนายกสภาทนายความเเห่ง ประเทศไทย ได้เเก่  ดร.ถวัลย์ รุยาพร  เบอร์ 6 เเละศ.พิเศษ เดชอุดม ไกรฤทธิ์ เบอร์ 1 ซึ่งคาดว่าจะได้รับเลือกเป็นกรรมการเนติฯอีกสมัยทั้งคู่ เเต่ขึ้นอยู่กับใครจะมีคะเเนนเสียงเป็นอันดับ 1  ส่วนที่เหลือที่น่าจับตามองก็ได้เเก่ นาย ประมาณ เลืองวัฒนะวณิช เบอร์ 4 นายสุชาติ ธรรมาพิทักษ์กุล เบอร์ 2  นายสมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์ เบอร์9  ดร.สมบัติ วงศ์กำแหง เบอร์ 11  ซึ่งทั้ง 4 คนนี้ล้วนเป็นทนายเบอร์ใหญ่เคยเป็นระดับผู้บริหารสภาทนายความที่อยู่ทั้ง 2 ขั้วในสภาทนายความ ทั้ง4 คนเคยมีผลงานทั้งเเต่งตำรากฎหมายมีลูกศิษย์เเละฐานเเฟนคลับจำนวนมาก ต้องชิงกันว่าใครจะลุ้นเข้าอีก 3 คน