“อนุทิน” ชี้ดึงกัญชากลับยาเสพติด ต้องเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ หวั่นนโยบายชักเข้า ชักออก บั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุนระยะยาว
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบคำถามผู้สื่อข่าว ถึงความน่ากังวล หากมีการนำกัญชา กลับเป็นยาเสพติด ว่า
เรื่องความเชื่อมั่นประชาชนต่อรัฐบาล ไปจนถึงเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุน เป็นสิ่งที่ตนให้ความสำคัญมาก โดยเฉพาะกับสถานการณ์ประเทศไทยตอนนี้ ที่เราต้องการเม็ดเงินใหม่ๆ เข้ามา เพื่อกระกระตุ้นเศรษฐกิจ เราต้องสร้างความเชื่อมั่นให้มีการใช้จ่าย เราต้องสร้างความมั่นใจให้ต่างชาติมาลงทุน ตอนตนทำนโยบายกัญชา ก็มองในเรื่องนี้ ที่สุดแล้ว มีเงินหลายหมื่นล้านเข้ามาในประเทศไทย มีเงินมหาศาลจากธุรกิจกัญชา อัดเข้ามาในเศรษฐกิจ วิสาหกิจชุมชนจำนวนมาก มีการ มีงานทำ เป็นทั้งอาชีพใหม่ และอาชีพเสริม ได้ลืมตาอ้าปาก หลายครัวเรือนมีเงินเดือนเข้ามามากถึง 20,000 บาทต่อเดือน จากการเป็นสมาชิกวิสาหกิจชุมชน ปลูกกัญชา เอาผลผลิต ให้โรงพยาบาล ให้สถานประกอบการ คนกลุ่มนี้ไม่ได้เสกกัญชาขึ้นมาเอง แต่เขาสร้างโรงเรือน มีการลงทุนไปนับล้านบาท ตอนนี้ ก็เริ่มมีการมาถามเรื่องการเยียวยากันแล้ว ว่าถ้าหากนำกลับไปเป็นยาเสพติด จะมีการช่วยเหลือเขาอย่างไร นี่คือเสียงจากรายย่อย ส่วนรายใหญ่ เชื่อว่าก็ต้องขยับออกมาเหมือนกัน
“ปัญหาคือ วันหนึ่ง เราบอกว่า เราจะให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจ เสนอให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน แล้วอีก 1-2 ปี ก็จะให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอีก ถามว่านักลงทุน จะรู้สึกอย่างไร ผมไม่ได้กังวลแค่เรื่องกัญชา แต่ในอนาคต หากเราบอกว่า เราส่งเสริมรถ EV เราส่งเสริมพลังงานสะอาด โซล่าเซลล์ เรามีนโยบายใหม่ๆออกมา ถามว่านักลงทุนยังจะเชื่ออยู่หรือไม่ เพราะเขามีตัวอย่างจากเรื่องกัญชาแล้ว เกิดเปลี่ยนรัฐบาล แล้วนโยบายจะเปลี่ยนด้วยไหม”
นายอนุทิน ย้ำว่า ณ เข้าใจถึงความเป็นห่วงเรื่องที่เด็กและเยาวชน เข้าถึงกัญชา ตรงนี้ พรรคภูมิใจไทย ได้ผลักดัน พ.ร.บ. มาตลอด แต่ก็ถูกตีตกไป มีการดึงเวลา ประวิงเวลา ทำให้ไม่สำเร็จ แล้ววันนี้ ก็จะมาดึงกลับเป็นยาเสพติด เรื่องนี้ ถ้าดี ก็ดีใจด้วย แต่ถ้าไม่ดี มีผลกระทบอะไร กับการนำกลับไป ก็ต้องรับผิดชอบ