จากปัจจัยสนับสนุนของมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) หรือ วีซ่าฟรี  ของนักท่องเที่ยวอินเดีย  และการดำเนินการส่งเสริมตลาดของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2567 ได้ผลักดันให้รายได้จากนักท่องเที่ยวอินเดียเติบโตอย่างที่ตั้งไว้ รวมถึงการปลดล็อกปริมาณที่นั่งผู้โดยสาร (Seat Capacity) ตามข้อตกลงการบินระหว่างประเทศไทย-อินเดีย และ การพิจารณาอนุมัติเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินจากสายการบินแอร์อินเดีย เส้นทางจากมุมไบ-กรุงเทพฯ จาก 1 เที่ยวบินต่อวัน เป็น 2 เที่ยวบินต่อวัน ได้ส่งเสริมให้เกิดการเดินทางแบบสองทางเพิ่มมากขึ้น

ช่วยลดความยุ่งยากในการเดินทาง

ซึ่งจากข้อมูลของอโกด้า แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยว ได้เปิดเผยถึงสถิติการค้นหาที่พักในประเทศอินเดียเพิ่มขึ้น 16% หลังรัฐบาลอินเดียประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้นักท่องเที่ยวชาวไทย โดยตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม จนถึงอย่างน้อยสิ้นปี 2567 นักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศอินเดีย สามารถสมัครวีซ่า e-Tourist ของอินเดียได้โดยต้องไม่เสียค่าใช้จ่าย

นายออมรี มอร์แกนสเติร์น, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, อโกด้า กล่าวถึงนโยบายยกเว้นข้อกำหนดวีซ่าให้นักท่องเที่ยวชาวอินเดียระหว่างการเยือนประเทศอินเดียเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ ว่า กระบวนการขอวีซ่าที่ง่ายขึ้น และเที่ยวบินที่มีมากขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถออกไปสำรวจจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ ได้สะดวกขึ้น ซึ่งทั้งสองอย่างช่วยลดความยุ่งยากในการเดินทางลง และส่งผลดีต่อธุรกิจการเดินทางท่องเที่ยว ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องการเดินทางไปประเทศอินเดียสามารถสมัครวีซ่า e-Tourist เพื่อเข้าประเทศอินเดียผ่านช่องทางออนไลน์ โดยไม่ต้องชำระเงินค่าวีซ่า

สำหรับนโยบายยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังรัฐบาลไทยยกเว้นข้อกำหนดวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2566 โดยจากสถิติของอโกด้าพบว่า นักท่องเที่ยวชาวอินเดียค้นหาที่พักในประเทศไทยเพิ่มขึ้น และกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ได้รับการค้นหาที่พักโดยนักท่องเที่ยวชาวอินเดียมากที่สุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ดังนั้นจึงทำให้เห็นสัญญาณบวกด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยและอินเดียมีมากขึ้น จากการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า เพราะได้เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวไทยสามารถเดินทางไปประเทศอินเดียเพื่อสำรวจมรดกทางวัฒนธรรม เที่ยวชมภูมิประเทศที่หลากหลาย รวมไปถึงเมืองต่าง ๆ ที่มีชีวิตชีวาในอินเดียได้ง่ายขึ้น

เป็นโอกาสดีสำหรับเมืองไทย

ด้าน นางสิริเกศอนงค์ ไตรรัตนทรงพล ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานนิวเดลี ประเทศอินเดีย กล่าวว่า   ตลาดอินเดีย เป็นตลาดหลักที่มีความสำคัญและเป็นโอกาสที่ดีต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทย ทั้งทางด้านจำนวนประชากรที่มากที่สุดในโลก (1.437 พันล้านคน) อัตราการเติบโตของจีดีพี (GDP) ในปี 2567 ที่คาดว่าจะเติบโตสูงถึง 7.3% จำนวนประชากรอินเดียที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเพิ่มขึ้นและมีจำนวนเกือบ 2 หมื่นราย การเติบโตของอุตสาหกรรมการบินอินเดียมีแนวโน้มจะเป็นหนึ่งในตลาดธุรกิจการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือแม้กระทั่งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอินเดียที่จะขยับขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลกในปี 2570

ขณะที่การท่องเที่ยวไทยเริ่มฟื้นตัวโดยมีคนอินเดียจะกลับมาเดินทางเที่ยวต่างประเทศ 80-90 %  ซึ่งเมืองไทยน่าจะครองตลาดได้ในอันดับ 4 สร้างรายได้ประมาณ 80 % ของปี 2562 จากวันพักเฉลี่ยเกินกว่า 8 วัน/คน/ทริป (เดิมทำไว้7.4 วัน/คน/ทริป) เปรียบเทียบกับปี 2562 อินเดียไปเที่ยวทั่วโลก 26.9 ล้านคน โดยเลือกมาไทย 1.9 ล้านคน

ในส่วนปัจจัยสนับสนุนที่จะทำให้รายได้ และจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น คือ การลงทุนของสายการบินอินเดีย ในอนาคตจะมีขนาดฝูงบินใหญ่ที่สุดของโลก โดยในขณะนี้เฉพาะ 2 แอร์ไลน์สที่ประกาศสั่งซื้อฝูงบินล็อตใหญ่รวมกันกว่า 970 ลำ ได้แก่ สายการบินแห่งชาติแอร์อินเดีย  สั่งซื้อ 470 ลำ และ อินดิโก้แอร์ไลน์ส โลว์คอสต์ยอดนิยมของคนอินเดียได้ สั่งซื้อฝูงบินมากถึง 500 ลำ เวลานี้เปิดบินเข้าไทย 2 เมือง คือ กรุงเทพฯ กับภูเก็ต สำหรับการลงทุนขยายฝูงบินดังกล่าวสะท้อนถึงตลาดการเดินทางเที่ยวต่างประเทศอนาคตในตลาดอินเดียจะเติบโตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

 โดย นางสิริเกศอนงค์  กล่าวว่า ปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวอินเดียถูกตั้งไว้ที่ประมาณ 1.8 ล้านคน หรืออาจจะขึ้นได้เท่ากับปี 2019  ซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 1.99 ล้านคน เกือบ 2 ล้านคน ทั้งนี้มีปัจจัยเสริมมาจาก 2 ข้อหลัก คือ ที่นั่งเที่ยวบินรองรับการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวที่มีอยู่  2 ช่วง คือ เดือนธันวาคม-มกราคม และอีกช่วงหนึ่ง คือ ช่วงปิดภาคเรียน คือเดือนมิถุนายน- กรกฎาคม