จับแล้ว "นายแจ็ค" เครือข่ายแก๊ง "บอล ปากแหว่ง" ก่อเหตุชิงทรัพย์เงินสด 3.3 ล้านบาท คาลานจอดรถห้างฯ ย่านพัฒนาการ หลัง ตร. สืบจนทราบว่า "นายแจ็ค" เป็นคนวางแผน พร้อมออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการเพิ่มอีก 1 คน ส่วน "บอล ปากแหว่ง" อยู่ระหว่างการประสานส่งตัวคนร้ายข้ามแดน


จากกรณีคนร้าย 2 คน ใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาดจี้ชิงทรัพย์เป็นเงินสด 3.3 ล้านบาท ภายในลานจอดรถห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านพัฒนาการ ก่อนจะหลบหนีไปยังถนนพัฒนาการฝั่งขาออก เหตุเกิดเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา

ความคืบหน้าล่าสุด พลตำรวจตรี นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ในคดีนี้ได้สืบสวนสอบสวนจนสามารถออกหมายจับเบื้องต้น 3 คน คือ นายนันทพร หรือ บอล, นายจักรพงษ์ หรือ แจ็ค, ส่วนอีกหนึ่งคนคือชายที่คาดว่าน่าจะเป็นคนจากประเทศเพื่อนบ้าน 

โดยคดีนี้ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว 2 คน นายบอลถูกตำรวจ สปป.ลาวจับกุมได้ที่แขวงคำม่วง สปป.ลาว เมื่อวันที่ 7 กรกฏาคมที่ผ่านมา โดยก่อนมาก่อเหตุชิงเงินสดที่พัฒนาการ นายบอลได้/แก่เหตุชิงทองคำที่ สปป.ลาว มูลค่า 3 บาท ก่อนจะหลบหนีมาก่อเหตุชิงเงินที่ย่านพัฒนาการ และหนีผ่านทางช่องทางธรรมชาติกลับไปยัง สปป.ลาว ซึ่งขณะนี้ตำรวจไทยที่อยู่ระหว่างประสานงานกับตำรวจลาว ในเรื่องของการส่งตัวคนร้ายข้ามแดน 

ส่วนนายแจ็ค ตำรวจสามารถไปจับกุมได้เมื่อวันที่ 6 กรกฏาคมที่ผ่านมา โดยนายแจ็คให้การว่า ตนรู้จักกับนายบอลสมัยเรียนช่างกลเมื่อปี 2550 โดยนายแจ็คเป็นรุ่นพี่ของนายบอล และคดีนี้ตนได้วางแผนกับนายบอลในการก่อเหตุชิงทรัพย์ โดยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตนได้เป็นคนเปิดโรงแรมย่านนวมินทร์ เพื่อนัดเจอและวางแผนในการก่อเหตุกับนายบอล ซึ่งในวันเกิดเหตุนายแจ็คได้ขี่รถจักรยานยนต์มาถึงที่เกิดเหตุก่อนนายบอลเพียงแค่ 2 นาที 
นายแจ็คให้การต่อว่า แผนเดิมที่คุยกันไว้ คือจะดักปล้นระหว่างทาง แต่ตนก็ไม่คิดว่านายบอลจะลงมือก่อเหตุตั้งแต่อยู่ในลานจอดห้างสรรพสินค้า ซึ่งตนก็รู้ดีว่าผู้ก่อเหตุคือนายบอลแต่ตนไม่กล้าเข้าแจ้งความเพราะกลัวจะถูกเชื่อมโยงไปถึง เนื่องจากตนรู้ให้เป็นใจด้วย

ส่วนเรื่องการเบิกเงินนั้น นายแจ็คให้การว่า ตนเป็นลูกจ้างของบริษัทฯ โดยบริษัทจะจ้างตนให้ไปเบิกเงิน และจะได้ค่าจ้างครั้งละ 2,000 บาท ซึ่งขณะนี้ตำรวจยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทดังกล่าวได้ เพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางการเงิน โดยพบข้อมูลเบื้องต้นว่า บริษัทฯดังกล่าวได้ใช้ชื่อคนไทย 3 คน ในการธุรกรรมทางการเงิน โดย 3 คนนี้ อยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย, จังหวัดพังงา, และจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งพนักงานสอบสวนและออกหมายเรียกให้ทั้ง 3 คนมาชี้แจงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ทั้ง 3 คนก็ไม่มาตามหมายเรียก

ขณะที่ผู้ต้องหาอีกหนึ่งคน ตำรวจยังไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรมากกับทีมข่าว บอกแค่เพียงว่าหลังก่อเหตุได้หลบหนีไปยังจังหวัดจันทบุรี และคาดว่าบุคคลดังกล่าวเป็นคนจากประเทศเพื่อนบ้าน