‘เมฆินทร์’ ยกราคาไข่ไก่หลายนายกฯ มาเทียบ ชี้ยุค ‘เศรษฐา’ ทำไข่ไก่แพงสุด ชาวบ้านหวั่นกลัวจะพบไข่ฟองละ 10 บาท กระตุกหามาตรการแก้ปัญหา พร้อมหวด ‘ภูมิธรรม’ เร่งแก้ปากท้องมากกว่าเน้นแก้ปัญหาการเมือง ระวัง รบ. เสื่อมความนิยมจากปัญหาราคาสินค้าแพง
นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงปัญหาปากท้องของประชาชน ภายหลังจากที่รัฐบาลที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ได้บริหารประเทศมาเกือบ 1 ปี แล้วว่า ขณะนี้เสียงของประชาชนที่บ่นถึงปัญหาค่าครองชีพ รวมทั้ง ราคาสินค้าที่แพงขึ้น โดยเฉพาะไข่ไก่ ซึ่งเป็นอาหารที่คนทั่วไปสามารถซื้อได้ มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย และสามารถไปทำอาหารได้หลากหลายเมนูนั้น มีราคาแพงขึ้นอย่างน่าตกใจ จนทำให้มีข่าวดราม่าถึงราคาข้าวไข่เจียวที่สูงไปถึงจานละ 50 บาท ทั้งนี้ จากการรวบรวมราคาไข่ของหลายสำนักข่าว ก็ได้ระบุว่า ราคาไข่ไก่สมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี สูงสุดอยู่ฟองละ 3.30 บาท สมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ สูงสุดอยู่ฟองละ 2.32 บาท สมัยนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สูงสุดอยู่ฟองละ 2.95 บาท ยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี สูงสุดอยู่ที่ฟองละ 2.71 บาท ยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยสูงสุดฟองละ 7 บาท เพราะเกิดน้ำท่วมใหญ่ ในปี 2554 แต่โดยเฉลี่ยแล้วราคาฟองละ 2.78 บาท สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตลอดเวลา 9 ปี ราคาไข่เฉลี่ยฟองละ 3.04 บาท และปัจจุบัน รัฐบาลของนายเศรษฐา ซึ่งมีนโยบายที่ช่วยลดค่าครองชีพ และมีคำโฆษณาว่า ‘เลือกเศรษฐา ได้เป็นเศรษฐี’ นั้น ขณะนี้ไข่แพงไปถึงฟองละ 5 บาท และมีประชาชนบอกด้วยว่า กลัวว่าหากนายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรีไปครบ 4 ปี กลัวว่าจะได้พบเห็นไข่ไก่ฟองละ 10 บาท ซึ่งตนไม่อยากให้ไปถึงจุดนั้น
นายเมฆินทร์ กล่าวด้วยว่า ดังนั้น ตนจึงอยากให้นายเศรษฐา เร่งหามาตรการในการแก้ไขปัญหาราคาไข่ไก่โดยเร็วที่สุด เพราะตนเชื่อว่า ราคาไข่ไก่ที่แพงขึ้น กระทบกับคนทุกคนในประเทศนี้เท่าๆ กัน ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าไข่ไก่ก็ไม่อยากร่ำรวยจากความทุกข์ยากของประชาชนในช่วงเวลานี้ รวมทั้ง อยากให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หันกลับมาทำงานในตำแหน่งหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเองในการแก้ไขปัญหาปากท้อง มากกว่าจะเน้นหนักในเรื่องการแก้ไขปัญหาทางการเมืองของพรรคที่นายภูมิธรรมสังกัด เพราะถ้าราคาไข่ไก่ยังพุ่งสูงต่อเนื่องจนกระทบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล นายภูมิธรรม ก็น่าจะถูกปรับออกจากตำแหน่ง หรืออาจจะทำให้พรรคเพื่อไทย จะไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาล เนื่องจากประชาชนหมดความไว้วางใจที่จะให้พรรคเพื่อไทย แก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง หลังจากโฆษณามาตลอดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
“ผมเห็นว่า รัฐบาลที่มีนายเศรษฐา เป็นนายกฯ นั้น คิดว่า จะสร้างความนิยมให้กับประชาชนจากโครงการเงินดิจิทัลจำนวน 10,000 บาท แต่ขณะนี้ รัฐบาลชุดนี้กำลังจะเสื่อมความนิยมจากเรื่องราคาสินค้าที่พุ่งสูงไปหลายบาท โดยเฉพาะราคาไข่ไก่ ซึ่งเมื่อเทียบกับหลายรัฐบาลที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า บางช่วงก็มีราคาสูง แต่ไม่สูงจนกระทบกับประชาชนเป็นวงกว้างมากมายเหมือนในเวลานี้ ซึ่งราคาไข่เป็นหนึ่งสิ่งที่ถูกกำหนดให้อยู่ใน ดัชนีราคาผู้บริโภค (consumer price index: CPI) ที่สะท้อนให้เห็น ราคาสินค้าและบริการพื้นฐานที่จำเป็นและผู้คนใช้เป็นประจำ และบ่งบอกถึงสถานะปากท้องของประชาชน โดยเวลานี้ปากท้องของประชาชนกำลังอยู่ในช่วงเวลาสิ้นหวัง ถึงขั้นอยากให้อดีตนายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้านี้ กลับมาบริหารประเทศ เพราะฉะนั้น ผมอยากให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทุ่มเทสติปัญญาในการแก้ปัญหาราคาสินค้าให้เป็นที่พอใจของประชาชนในระยะยาว มากกว่าที่จะไปทุ่มเทให้กับการแจกเงินดิจิทัล เพื่อสนองความต้องการทางการเมืองชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ” นายเมฆินทร์กล่าว