วันที่ 7 ก.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เดินทางไปพบ นางสมบูรณ์ และนางนารี อายุ 73 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 3 ตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี หลังได้รับการร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากความเดือดร้อนปัญหาเรื่องที่ดิน โดยพบว่าทั้งสองคนกำลังทำพิธีเอาพริกเอาเกลือมาเผาในเตาถ่านที่ไฟกำลังลุกไหม้ เพื่อเป็นการระบายความคับแค้นใจ และสาปแช่งกลุ่มนายทุน ที่เข้ามาบุกรุกยึดที่ดินบรรพบุรุษของครอบครัวตนเองไปอย่างหน้าตาเฉย แถมยังมีการเข้าไปปลูกสร้างร้านกาแฟและเปิดเป็นลานกางเต้นท์ให้บริการกับนักท่องเที่ยวอย่างใหญ่โตเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งที่ที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ เป็นที่ดินที่พวกตนได้รับต่อมาจากบรรพบุรุษ

ในระหว่างที่เอาพริกเอาเกลือเผาไฟอยู่นั้น นางนารี และนางสมบูรณ์ ได้พูดว่า "ใครเอาที่ดินปู่ย่าตายายกูไปขอให้มันชิบหายตายจาก ให้มันไหม้เหมือนที่เราเผา ขอให้เป็นเหมือนพริกเกลือในกองไฟ ขอให้ล้มหายตายจาก ใครเอาไปก็แล้วแต่ ขอให้เวรกรรมตามทัน ขอให้เป็นตามพริกเกลือในกองไฟ มึงเอาของกูคืนมามึงโกงของกูไปนานแล้ว" 

จากนั้น นางสมบูรณ์ ได้นำเอาเอกสารแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน จำนวน 3 ไร่ ในพื้นที่หมู่ 3 ตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ริมแม่น้ำแม่กลอง มาแสดงให้ผู้สื่อข่าวดู ซึ่งเอกสารแบบแจ้งการครอบครองที่ดินดังกล่าว ระบุชื่อผู้ครอบครอง คือ นางดำ ซึ่งเป็นแม่ของนางสมบูรณ์ เป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2498 ก่อนจะมีการจัดสรรปันส่วนแบ่งให้กับลูกๆ กระทั่ง ทางกรมชลประทานที่ 13 ได้มีการเข้ามาเวนคืนที่ดินบริเวณดังกล่าว เพื่อใช้ในการสร้างเขื่อนแม่กลอง ทำให้ที่ดินที่พวกตนได้รับมาจากบรรพบุราถูกเวนคืนไปด้วย 

แต่หลังจากการสร้างเขื่อนแม่กลอง เสร็จเรียบร้อย ทางกรมชลประทานที่ 13 ได้ส่งมอบที่ดินที่เวนคืน ให้กับกรมธนารักษ์เป็นผู้ดูแลและจัดสรรให้กับประชาชนได้เช่าอยู่อาศัยหรือทำประโยชน์ โดยตามข้อกำหนดจะต้องให้พวกตน ซึ่งมีชื่อครอบครองเดิม สามารถเช่าได้ก่อน แต่ปรากฏว่า หลังจากนางดำ แม่ของนางสมบูรณ์ เสียชีวิตไปเมื่อปี 2532 ก็เริ่มมีกลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพลในพื้นที่อำเภอท่าม่วง เข้ามาล้อมรั้วที่ดินแปลงดังกล่าว โดยอ้างว่า เป็นที่ดินที่ได้รับมรดกมาจากครอบครัว แต่กลับไม่มีเอกสารใดๆ มาแสดง ทางพวกตนที่มีเอกสารการครอบครองอย่างถูกต้อง จึงได้เดินหน้าร้องเรียนไปยังหน่วยงานราชการเพื่อให้พิสูจน์ข้อเท็จจริง กระทั่ง สามารถหาเอกสารมาพิสูจน์ได้ว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินที่ครอบครัวของตนครอบครองมาก่อน แต่กลุ่มนายทุนก็ไม่ยอมย้ายออก กลับมีการล้อมรั้วที่ดินและเลี้ยงสุนัขพันธุ์ดุเอาไว้ในที่ดิน ทำให้พวกตนไม่สามารถเข้าไปในที่ดินได้

จนเมื่อปี 2561 ทางพวกตนจึงได้ไปร้องเรียนกับทางธนารักษ์จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ เพื่อนำเอกสารไปแสดงและจะขอเช่าพื้นที่ดังกล่าวให้ถูกต้อง แต่ทางธนารักษ์กลับอ้างว่า ที่ดินแปลงดังกล่าว มีข้อพิพาทระหว่างพวกตนกับกลุ่มนายทุนที่บุกรุกอยู่ จึงไม่สามารถออกเอกสารการเช่าที่ดินให้ได้ อีกทั้ง ยังไม่สามารถจัดการให้กลุ่มนายทุนที่เข้าไปล้อมรั้วย้ายออกได้เช่นกัน ทำให้เรื่องยืดเยื้อมานานหลายปี ล่าสุด กลุ่มนายทุน มีการบุกรุกเข้าไปสร้างร้านกาแฟ และเปิดเป็นลานกางเต้นท์ขนาดใหญ่ให้บริการกับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งที่ไม่ได้มีเอกสารการครอบครองหรือเช่าพื้นที่แต่อย่างใด ขณะที่พวกตน ซึ่งเป็นทายาทเจ้าของที่ดินเดิม กลับต้องกลายเป็นคนไร้ที่อยู่ ที่ผ่านมาแม้จะเดินหน้าร้องเรียนไปหลายหน่วยงาน ก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ หน่วยงานราชการเจ้าของพื้นที่อย่างธนารักษ์ก็ไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้กลุ่มนายทุนเข้ามายึดที่ดินไปสร้างร้านกาแฟและลานกางเต้นท์ได้อย่างหน้าตาเฉย ทำให้พวกตนหมดหนทางไปรู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงเผาพริกเผาเกลือเพื่อสาปแช่งระบายความคับแค้นใจ และนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาร้องสื่อมวลชน เพื่อหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม และจะได้มีสิทธิ์เช่าที่ดินเดิมของพวกตนไปให้ลูกหลานได้มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ไม่ต้องไปเช่าที่คนอื่นอยู่อาศัยเหมือนในทุกวันนี้

ด้าน นางนารี ล่าวอีกว่า "เราอยู่กันมาตั้งนาน ตายแล้วตายอีก แล้วอยู่ๆ มันมาครอบครอง ป้าก็ปลูกกระต๊อบปลูกแพอยู่ ชีวิตคนจนก็ต้องวิ่งหากินก่อสร้าง แล้ว อยู่ๆ เขาก็มาล้อมรั้วไม่ให้เข้า ตอนเขามาล้อมรั้วป้าไม่อยู่ไปทำงานรับจ้างทั่วไป ก็อยู่แถวๆ นี้ไปๆ มาๆ พอกลับมาก็ไม่เหลืออะไรแล้วเขาเข้ามาอยู่แล้ว แล้วป้าจะไปอยู่ที่ไหนลูกหลานก็เยอะ เคยคุยกับเขาแล้วเขาไม่ให้ เขาบอกว่าเป็นที่ปู่ย่าตายาย แล้วถามว่าที่ปู่ย่าตายายหลักฐานต้นตระกูลชื่ออะไร นามสกุลอะไรรู้จักกันมั้ยถามไปแบบนี้ เขาก็ไม่พูดอะไร ป้าก็อยากจะรู้ต้นตระกูล ให้มาพูดกันมาคุยกัน เอาหลักฐานมาประชันกัน ของป้ามีชัดเจนอยู่แล้ว ป้าอยู่แคมป์ก่อสร้าง ถ้างานตรงนี้จบป้าก็ต้องย้ายเรื่อยไป ลูกหลานก็ต้องจ้างเขาเลี้ยง ตอนนี้ป้าอยู่ 73 ยังไม่มีที่อยู่ บ้านก็ยังไม่มี ต้องเร่ร่อนตลอด ก็หวังให้รัฐบาลช่วยให้ทุกคนช่วยหน่อย ป้าลำบากจริงๆ ลูกหลานก็เยอะ ป้าแก่แล้วอยากอยู่ในที่ดินที่ต้นตระกูลมอบให้ หรืออยู่เป็นที่เป็นทาง อายุบั้นปลายชีวิตป้าไปไม่ไหวแล้ว ป้าจะอยู่ที่ไหน กรมธนารักษ์ช่วยหน่อยช่วยด้วย ไม่มีที่จะไปแล้ว" นางนารี กล่าวคร่ำครวญในตอนท้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบทราบว่า นายทุนที่เข้าไปบุกรุกที่ดินของ 2 แม่เฒ่าครั้งนี้ ในอดีตสามีเป็นคนทำงานราชการ ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว เหลือแต่ภรรยาที่หน้าฉากประกอบอาชีพขายต้นไม้ แต่หลังฉากปล่อยเงินกู้นอกระบบ ในรายที่ไม่มีเงินให้ก็จะยึดที่ดินไปเป็นเจ้าของ มักจะอ้างตัวว่าเป็นผู้กว้างขวางรู้จักคนในอำเภอ อยู่เสมอ