คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ /ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย               

แทบไม่น่าเชื่อเลยที่แม้ว่า “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”ผู้ที่มีทั้งความเชี่ยวชาญและมากด้วยประสบการณ์ทางการเมืองมาอย่างยาวนานกว่าห้าสิบปีแล้วก็ตาม  แต่หลังจากเกิดอาการสะดุดการโต้ฝีปากดีเบตครั้งล่าสุดนี้ ที่ไม่เป็นไปตามความคาดหมายเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น กลับปรากฏว่ามีการเรียกร้องให้เขาถอนตัวออกจากการเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตกันอย่างมากมาย

อนึ่งเหตุการณ์เยี่ยงนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปีค.ศ. 2012 ในการดีเบตครั้งแรกที่เกิดขึ้นระหว่าง “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” กับ “ผู้ว่าฯมิตต์ รอมนีย์” โดยครั้งครานั้นปรากฏว่าประธานาธิบดีโอบามา เป็นฝ่ายพ่ายแพ้การปะทะฝีปาก แต่เขาก็ไม่ยอมพ่ายแพ้ จนทำให้การดีเบตครั้งที่สอง เขาเป็นฝ่ายชนะและได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐด้วยคะแนนอิเล็กโทรัลโหวตเหนือกว่าผู้ว่าฯมิตต์ รอมนีย์อยู่ที่ 332 ต่อ 206 คะแนนเลยทีเดียว!!!

ทำนองเดียวกันกับการดีเบตเมื่อปีค.ศ. 1984 ที่เกิดขึ้นระหว่าง “ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน” กับ “วอลเตอร์ มอนเดล” ที่ขณะนั้นประธานาธิบดีเรแกน มีอายุ 73 ปี และในที่มีการโต้วาทีที่ รัฐเคนตักกี ปรากฏว่าวันนั้นในสายตาของชาวอเมริกันเขาดูเป็นคนแก่ที่ไร้ความกระฉับกระเฉง แถมยังพูดจาตะกุกตะกักไม่คล่องแคล่ว โดยวันนั้นผู้ดำเนินรายการที่มาจาก

“หนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีท เจอร์นัล”ได้ตั้งคำถามว่า “ประธานาธิบดีเรแกนไหวไหมที่จะอยู่ในทำเนียบขาวต่ออีกสี่ปีในสมัยที่สอง”

แต่กลับปรากฏว่า ประธานาธิบดีเรแกนสามารถกำชัยชนะไปอย่างถล่มทลายถึง 49 รัฐด้วยคะแนนอิเล็กโทรัลโหวต 523 ต่อ 13 คะแนน อีกทั้งประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ยังได้รับการยกย่องให้เป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาอีกท่านหนึ่งด้วยเช่นกัน

อนึ่งการดีเบตในเรื่องอายุอานามที่ผู้ดำเนินรายการถามมานั้นดูเหมือนว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ออกกมายอมรับว่า เขาทำได้ไม่ดีเท่าใดนัก  โดยเขาได้ออกมากล่าวที่รัฐนอร์ทแคโรไลนาเมื่อวันพฤหัสฯ ที่ 27 มิถุนายน 2024 นี้ว่า “ข้าพเจ้ารู้ดีว่ามิได้อยู่ในวัยหนุ่มละอ่อน แถมยังเดินเหินและพูดจาลับฝีปากโต้เถียงไม่ค่อยคล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน แต่ข้าพเจ้าก็รู้ดีว่า ข้าพเจ้าพูดความจริงและกำลังทำอะไร และยังรู้ถึงวิธีทำงานให้เกิดผลสำเร็จ  โดยข้าพเจ้าตระหนักดีเหมือนกับคนอเมริกันหลายๆล้านคนว่า เมื่อล้มแล้วจะต้องลุกขึ้นมาสู้ใหม่”

เนื่องจากในวันที่มีการดีเบตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน 2024 ประธานาธิบดีโจ ไบเดนมีน้ำเสียงที่แหบแห้ง แถมบางครั้งยังหยุดพูดแบบขาดช่วงอย่างกะทันหัน ซึ่งได้สร้างความตระหนกตกใจให้แก่บรรดาแกนนำของพรรคเดโมแครตว่าเขาสามารถจะไปต่อได้หรือไม่? จนแกนนำบางคนออกปากเสนอว่า สมควรที่เปลี่ยนให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มารับหน้าที่รองประธานาธิบดี และให้ “รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส” เข้ามาเสียบรับตำแหน่งประธานาธิบดีแทน ในการแข่งขันเลือกตั้งครั้งนี้

แต่อย่างไรก็ตามการเผชิญหน้าปะทะฝีปากโต้วาทีของสองนักการเมืองรุ่นเดอะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดูเหมือนว่านับตั้งแต่วินาทีแรกที่ทั้งสองเดินเข้าประจำแท่นโพเดียมในห้องสตูดิโอของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ณ เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เมื่อเวลา 18.00 น. บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด

และยังเป็นที่สังเกตอีกด้วยว่าทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดน และ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”ต่างก็มีสีหน้าขรึมและเคร่งเครียด แถมทั้งคู่ยังมิได้จับมือกันตามประเพณีการดีเบตเหมือนเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านๆมาอีกต่างหาก!!!

ส่วนจุดเดือดที่เปิดฉากระเบิดความร้อนแรงในการโต้วาทีครั้งนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่การตั้งคำถามประเดิมเป็นข้อแรกที่ผู้ดำเนินรายการเอ่ยปากถาม เกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจในสมัยแรกของประธานาธิบดีโจ ไบเดน

ทั้งนี้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ (89%) ต่างเล็งเห็นว่า ในการจัดการปัญหาเกี่ยวกับเศรษฐกิจถือเป็นปัจจัยสำคัญในการที่พวกเขาจะนำมาพิจารณาว่า สมควรจะเลือกใคร? และ ใครที่พวกเขาควรจะเลือกให้บริหารประเทศในอีกสี่ปีข้างหน้า?

อนึ่งการวัดความสำเร็จเกี่ยวกับการบริหารทางเศรษฐกิจโดยทั่วไปแล้วนั้นจะกอปรไปด้วย จำนวนของการจ้างงาน จำนวนอัตราของคนว่างงาน เรื่อยไปไปจนถึงจำนวนของการเติบโตในตลาดหลักทรัพย์ จำนวนเงินเฟ้อ และการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง

ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน สามารถสร้างผลงานดีเด่นในการลดจำนวนอัตราคนว่างงานได้แบบต่ำสุดในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา จากที่เคยมีอยู่ที่ 6.4% ขณะนี้ลดลงเหลืออยู่แค่ 3.9%  ยอดของหนี้สาธารณะก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนในการเลือกของคนอเมริกัน โดยในยุคสมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยอดของหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4.3 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าตัวอยู่ที่ 8.4 ล้านล้านดอลลาร์

และในสมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ดัชนีหุ้น S&P 500 ได้เพิ่มขึ้นถึง 42.1% ส่วนในช่วงเดียวกันของประธานาธิบดีทรัมป์ดัชนีหุ้น S&P 500 เพิ่มขึ้นที่ 33.6%

จุดเริ่มต้นในการเข้ารับตำแหน่งบริหารประเทศของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถือเป็นช่วงที่มีจำนวนอัตราเงินเฟ้อเลวร้ายที่สุดในรอบ 40 ปี และในเดือนมิถุนายนปีค.ศ. 2022 ดูเหมือนว่าขณะนั้นราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นถึง 13.6%

และเนื่องจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่มีความว่องไวปราดเปรียวเหมือนเมื่อก่อน จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ประธานาธิบดีทรัมป์เฉไฉเบี่ยงเบนข้อมูลที่ปราศจากความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลา เช่น ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวเท็จเกี่ยวกับการโจมตีอาคารรัฐสภาของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 ว่า เป็นการประท้วงที่มีคนไม่มาก แต่ตามความเป็นจริงแล้วจากการบันทึกวิดีโออย่างละเอียดปรากฏว่ามีผู้คนหลายพันคนบุกเข้าไปในรัฐสภาและทำลายทรัพย์สินอันมีค่ามหาศาล ซึ่งถือเป็นการประท้วงที่มีการนองเลือดมากที่สุดในรอบ 200 ปีของการเมืองสหรัฐฯเลยทีเดียว

อีกกรณีหนึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ ยังเอ่ยปากพูดออกมาว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต้องการที่จะเพิ่มภาษีต่อชาวอเมริกันถึงสี่เท่าตัว ซึ่งปรากฏว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

จากการรวบรวมข้อมูลของสำนักหยั่งเสียงของซีเอ็นเอ็นปรากฏว่า ในการดีเบตครั้งล่าสุดนี้ประธานาธิบดีทรัมป์พูดปดโกหกไม่เป็นความจริงมากถึง 30 ครั้ง ยกตัวอย่างอาทิเช่น เขาพูดปดยกเมฆว่า บรรดารัฐที่มีพรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายบริหารอนุญาตให้มีการฆ่าเด็กทารกหลังจากคลอดลืมตาออกมาดูโลกแล้ว และพูดขี้หกในเรื่องที่ว่าขณะนี้สหรัฐฯกำลังขาดดุลงบประมาณอย่างสูงสุด และยังขี้ตั้วว่า สหรัฐฯขาดดุลการค้ากับจีนอย่างมาก โดยสำนักหยั่งเสียงซีเอ็นเอ็นออกมากล่าวอธิบายว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นจริงๆ แต่เกิดขึ้นในสมัยที่ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นผู้นำบริหารสหรัฐฯ

นอกจากนั้นแล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ยังกล่าวเน้นย้ำในเรื่องที่ไม่เป็นความจริงเกี่ยวกับคนต่างชาติที่อพยพเข้าสหรัฐฯได้รับประกันสังคมและชายแดนระหว่างสหรัฐฯกับเม็กซิโกเป็นสถาที่อันตรายที่สุดในโลก ดูเหมือนว่าเป้าหมายการโกหกของประธานาธิบดีทรัมป์ก็เพื่อปั่นหัวสร้างความสับสนฐานให้คนอเมริกันเกลียดชังคนต่างชาติ

อย่างไรก็ตามสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นได้ออกมาเปิดเผยว่าในการโต้วาทีดีเบตปะทะฝีปากในครั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นฝ่ายชนะด้วยคะแนน 67% ต่อ 33% ไม่แน่ว่าอาจจะมาจากวาทศิลป์ในการโกหกปั้นน้ำให้เป็นตัวจนทำให้ผู้คนคล้อยตามของประธานาธิบดีทรัมป์ก็เป็นไปได้

สถานีโทรทัศน์ช่องพีบีเอสที่เป็นสถานีโทรทัศน์เพื่อสาธารณะ ได้ออกมาเปิดเผยว่าในการดีเบตครั้งนี้แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะกล่าวคำเท็จแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่สามารถโต้แย้งป้องกันปกป้องการโกหกได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงเป็นผลให้พรรคเดโมแครตเกิดความกังวลเป็นอย่างมาก

แม้ว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์จะชนะการดีเบตในครั้งนี้ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าเขาได้สร้างความเสียหายและได้ภาพพจน์ด้านลบให้แก่สหรัฐฯเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอิมมิเกรชั่น จำนวนของคนงานชาวผิวดำและชาวลาติน

ทั้งนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกมากล่าวว่าการที่เสียงของเขาแหบแห้งและยังมีท่าทางที่อ่อนเพลีย สืบเนื่องมาจากเขาเป็นหวัดจึงทำให้พลาดการโต้ตอบลบล้างการโกหกของประธานาธิบดีทรัมป์ไปอย่างน่าเสียดาย ระหว่างการดีเบตวันนั้นจะเห็นได้ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนมีอาการไอจนพูดตะกุกตะกักไม่ปะติดปะต่อ จนเปิดโอกาสให้ประธานาธิบดีทรัมป์โจมตีว่า พูดฟังไม่รู้เรื่อง ทำให้คนใกล้ชิดของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เกิดอาการตระหนกตกใจไปตามๆกัน!!!

และถึงแม้ว่าจะมีการวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในอนาคตการเมืองของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นอย่างมากก็ตาม แต่ปรากฏว่า ยอดเม็ดเงินบริจาคจากบรรดาพ่อยก แม่ยกฐานเสียงของเขากลับหลั่งไหลทะลักทลายเพียงแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้นก็มียอดเงินบริจาคมากถึง 14 ล้านดอลลาร์ด้วยกัน ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้เขียนข้อความในโซเชียลมีเดียว่า “การดีเบตของประธานาธิบดีโจ ไบเดน นับว่าเลวร้ายมาก แต่ข้าพเจ้าก็ยังให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่”

ขณะเดียวกันผู้นำในค่ายพรรคเดโมแครตส่วนใหญ่ได้ส่งสัญญาณสนับสนุนประธานาธิบดีโจ ไบเดน กันอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้แกนนำของพรรคเดโมแครตได้วิ่งรอกออกมาปกป้องประธานาธิบดีโจ ไบเดนกันอย่างเต็มที่!!!

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นหาก “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน”เกิดอาการเหนื่อยใจออกมาประกาศถอนตัว ก็เป็นที่แน่นอนว่า ความยุ่งเหยิงและวุ่นวายคงจะเกิดขึ้นภายในพรรคเดโมแครตที่นักการเมืองหลายๆคนคงจะแย่งเข้าเสียบแทนที่ เพื่อหวังครอบครองตำแหน่งใหญ่ยักษ์ จนทำให้บรรดาฐานเสียงที่ควักกระเป๋าบริจาคเงินเกิดความรำคาญ ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุดของพรรคเดโมแครตในขณะนี้ก็คือ ตั้งตาตั้งตาทั้งผลักทั้งดันสนับสนุนประธานาธิบดีโจ ไบเดนอย่างเต็มที่ต่อไป เพราะหากเขาตัดสินใจถอนตัวเมื่อใดก็ตาม การแข่งขันเลือกตั้งในอีกสี่เดือนข้างหน้าของพรรคเดโมแครตก็คงจะพบกับจุดจบจนไม่สามารถสยบ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ได้ละครับ