ออกอาการวิตกกังวล จนถึงขั้นเสียขวัญกันไปทั้งพรรคเดโมแครต และพันธมิตร เลยทีเดียว
เมื่อผลการอภิปรายโต้วาทีเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ หรือดีเบต ของสองผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2024 ซึ่งมีขึ้น ณ ห้องส่ง หรือสตูดิโอ ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ในนครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เมื่อช่วงค่ำของวันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา ตามวันเวลาท้องถิ่น ปรากฏว่า ผู้สมัครรับเลือตั้งฯ ของทางพรรคเดโมแครต คือ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังเป็นอย่างมาก ในการประชันวิสัยทัศน์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งฯ จากพรรครีพับลิกันคู่ปรับ
พูดสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ “พ่ายหมดรูป” นั่นเอง สำหรับ ประธานาธิบดีไบเดนที่มีต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ในการดีเบตเมื่อปลายเดือนที่แล้ว
แถมมิหนำซ้ำ ยังเป็นการพ่ายหมดรูป อย่างพลิกความคาดหมายของเหล่าพลพรรคเดโมแครต และบรรดาพันธมิตร ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญ ที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ว่า ประธานาธิบดีไบเดนของพวกเขานั้น จะแสดงฝีปาก โชว์วิสัยทัศน์ ซัดอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จนอยู่หมัด เฉกเช่นในการดีเบตเมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งที่แล้ว คือ ในปี 2020 (พ.ศ. 2563) กระทั่งเป็นเหตุปัจจัยประการหนึ่งที่ทำให้นายไบเดน ชนะเลือกตั้งเหนือนายทรัมป์ พร้อมกับได้เข้าไปนั่งบนเก้าอี้ประธานาธิบดีในทำเนียบขาว ในฐานะผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน
ทว่า ไปๆมาๆ ในครั้งนี้ กลับเป็นฝ่ายของประธานาธิบดีไบเดน ที่ถูกอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ขย้ำคาห้องส่งของซีเอ็นเอ็น สถานีโทรทัศน์ซึ่งเป็นปรปักษ์ ไม้เบื่อ ไม้เมา ของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มาแต่ไหนแต่ไรอีกด้วยต่างหาก
โดยตลอด 90 นาทีซึ่งเป็นเวลาของการดีเบตกันในครั้งนี้ ประธานาธิบดีไบเดน พูดจาติดๆ ขัดๆ ตะกุกตะกัก หรือไม่ก็นิ่งเงียบไปเฉยๆ หยุดพัก เป็นบางช่วง และในการพูดแบบนิ่งๆ ก็ยังมีเสียงที่เบา ฟังเข้าใจยาก คือ พูดไม่รู้เรื่อง แตกต่างสวนทางกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ฉะฉาน ชัดถ้อย ชัดคำ แสดงออกถึงการเป็นผู้นำออกมาบนเวทีดีเบต
ทั้งนี้ พลันที่ดีเบตเสร็จสิ้น ทางสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ในฐานะเจ้าภาพจัดเวทีดีเบตในครั้งนี้ ก็ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนผู้ชมออกมาทันที ซึ่งผลปรากฏว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ความชื่นชมถึงร้อยละ 67 ส่วนประธานาธิบดีไบเดน ได้รับความชมชอบไปเพียงร้อยละ 33 เท่านั้น เรียกได้ว่า ทิ้งห่างขาดลอยอย่างหลุดลุ่ย ในการวัดคะแนนโดยใช้เสียงจากประชาชนผู้ชม
ผลจากการพ่ายแพ้อย่างยับเยินข้างต้นนั้น ก็ทำให้ในช่วงแรกทางนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนักการเมืองคนสำคัญของพรรคเดโมแครต ออกมาสวมบทเป็น “นางแบก” แก้ต่างให้ประธานาธิบดีไบเดนว่า อยากจะให้ประชาชนดูที่ผลงานการบริหารประเทศของประธานาธิบดีไบเดนมากกว่าการวัดกันแต่เพียงเฉพาะการดีเบตเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีไบเดน ก็ได้ออกมายอมรับในเวลาต่อมาว่า ตนทำผลงานได้ไม่ดีในการดีเบตนัดแรกกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์
โดยประธานาธิบดีไบเดน ระบุว่า ตนอาจจะพูดจาได้ไม่ราบรื่นอย่างที่เคย จนทำให้ดีเบตได้ไม่ดีเหมือนอย่างอดีต แต่ตนก็รู้ตัวดีว่า จะทำหน้าที่ในฐานะผู้นำสหรัฐฯ ได้อย่างไร รู้ว่าจะทำงานให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างไร และก็รู้ในสิ่งที่ชาวอเมริกันหลายล้านคนรู้ด้วยว่า เมื่อเราถูกชนกระแทกให้ล้มลง เราก็ต้องรีบลุกขึ้นมา
ทว่า แม้ว่าประธานาธิบดีไบเดน ได้ออกมายอมรับในความพ่ายแพ้ แต่ปรากฏว่า ทางครอบครัวของประธานาธิบดีไบเดน ก็กล่าวโทษไปยังบรรดาที่ปรึกษาทีมงานการหาเสียงของประธานาธิบดีไบเดนว่า มีส่วนสำคัญที่ทำให้นายไบเดน ต้องพ่ายแพ้ในการดีเบตนัดแรกนี้ ถึงขนาดเรียกร้องให้เปลี่ยนตัว อันหมายถึงว่า ให้ปลดบรรดาที่ปรึกษาทีมงานฯ ชุดเก่าออกไปกันเลย
ทั้งนี้ จากผลพวงของความพ่ายแพ้อย่างยับเยินคาบนเวทีดีเบตนัดแรกนั้น ก็ส่งผลให้บรรดาพลพรรคเดโมแครตทั้งหลาย ได้มีกระแสกดดันให้ประธานาธิบดีไบเดน ถอนตัวออกจากการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 ที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้ โดยประธานาธิบดีไบเดน ในฐานะผู้สมัครฯ ของพรรคเดโมแครต จะชิงชัยกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้สมัครฯ จากพรรครีพับลิกัน คู่ปรับเก่า ที่เคยขับเคี่ยวกันมาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว
โดยพลพรรคเดโมแครตที่ออกมาจุดกระแสกดดัน ส่วนใหญ่ก็เป็นถึงระดับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. ซึ่งในจำนวนนี้ก็มีถึงระดับอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ออกมาส่งเสียงเรียกร้องให้ประธานาธิบดีไบเดน ถอนตัวออกจากการชิงชัยข้างต้น อาทิเช่น
นายลอยด์ ด็อกเก็ตต์ ส.ส.แห่งรัฐเทกซัส ซึ่งถูกยกให้เป็น ส.ส.คนแรกของเดโมแครต ออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีไบเดน ถอนตัวจากการสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ซึ่งแม้ว่าจะมีความเจ็บปวดอยู่บ้าง ที่จะต้องประกาศถอนตัว แต่ก็จำเป็นที่จะต้องตัดสินใจ
ทั้งนี้ ส.ส.ด็อกเก็ตต์ แสดงความวิตกกังวลต่อปัญหาสุขภาพของประธานาธิบดีไบเดน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพทางร่างกาย และสุขภาพทางจิตใจ ของประธานาธิบดีไบเดน ที่มีอายุมากถึง 81 ปีแล้ว อาจจะไม่เหมาะสมที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย
เช่นเดียวกับ นางแนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ซึ่งเคยมีประวัติปะทะทั้งฝีปาก และฉีกเอกสารในการแถลงนโยบายประจำปีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์กันมาแล้ว แต่ก็แสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาสุขภาพของประธานาธิบดีไบเดน ต่อการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
ท่ามกลางกระแสกดดันให้ประธานาธิบดีไบเดน ถอนตัวจากการชิงชัยข้างต้น ก็ทำให้มีคำถามสวนขึ้นมาแล้วจะให้ใครในพรรคเดโมแครตมาลงสู้ศึกแทน ปรากฏว่า ได้มีการเสนอชื่อหลายคนด้วยกัน เช่น นางกมลา แฮร์ริส ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี และนายเกวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นต้น ซึ่งบุคลเหล่านี้ ถ้าเปรียบเทียบคะแนนนิยมกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ของทางฟากรีพับลิกันแล้ว ยังไม่ใช่คู่มือที่จะมาต่อกรด้วย