เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่ศาลาว่าการกทม. นางสาวเอ สงวนชื่อและนามสกุล อายุ 30 ปี อดีตทีมงานนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนประจำศาลาว่าการกทม. เพื่อขอความเป็นธรรม หลังถูกผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการเมือง คุกคามทางเพศในพื้นที่สาธารณะ สร้างบาดแผลทางใจและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต

 

นางสาวเอ กล่าวว่า ได้เข้าร่วมงานกับทีมงานหาเสียงของนายชัชชาติ  ตั้งแต่เดือนเม.ย.64 กระทั่งนายชัชชาติ เข้ารับตำแหน่ง ยังคงทำงานร่วมกับทีมงานเช่นเดิม โดยทีมงานมีการนับถือรุ่นพี่รุ่นน้อง หลังเลิกทำงาน มีการออกไปรับประทานอาหารและดื่มกินสังสรรค์แลกเปลี่ยนความเห็นหรือปัญหาในการทำงาน เพื่อคลายความเครียดบ้างเป็นครั้งคราว ก่อนจะลาออกในเดือนมี.ค.66 แต่ระหว่างนั้นยังมีโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จ ต้องกลับมาประสานงานกับข้าราชการที่ศาลาว่าการกทม.ด้วย และวันเกิดเหตุ เดือนเม.ย.66 ได้พบปะกับทีมงานเช่นเดิม หลังเลิกงานช่วงเย็น ได้มีการรับประทานอาหารและดื่มกินที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นถูกผู้บริหารระดับสูงฝ่ายการเมือง คุกคามทางเพศ โดยการโอบกอดจากด้านหลังให้ร่างกายแนบติดกันและไซ้บริเวณคอและหู ใช้กำลังโอบรัดไว้แม้ว่าตนจะพยายามผลักออก จึงนำเรื่องดังกล่าว ไปแจ้งกับประธานที่ปรึกษาผู้ว่าฯ และรองผู้ว่าฯกทม. 2 คนให้รับทราบ

 

ต่อมาในเดือนมิ.ย.66 ผู้บริหารระดับสูงที่ทราบเรื่องได้เรียกตนไปเจรจาไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีซึ่งให้การรับสารภาพว่ากระทำการคุกคามทางเพศตนจริง โดยฝ่ายผู้บริหารให้ตนเสนอเงื่อนไขและทางออกที่ต้องการ ตนขอให้คู่กรณีสารภาพผิดและขอโทษผ่านโซเชียล เวลาผ่านไปคู่กรณีไม่ดำเนินการอะไรตามที่ได้ตกลงกันไว้

 

ตนจึงร้องเรียนผ่านทราฟฟี่ฟองดูว์ ในเดือน ส.ค.66 เพื่อให้เรื่องเข้าระบบ ซึ่งจะได้เป็นไปตามระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งยืนยันว่าทราฟฟี่ฟองดูว์ ไม่ใช่ช่องทางแรกที่ตนร้องขอความช่วยเหลือ และไม่ใช่ช่องทางแรกที่ผู้บริหารระดับสูงรับรู้เรื่องนี้

 

ต่อมาได้มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว โดยหนึ่งในกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เป็นพยานตอนที่คู่กรณีรับสารภาพแล้ว แต่กลับปล่อยให้ฝ่ายกฎหมาย สรุปว่าทั้งสองฝ่ายให้การไม่ตรงกัน ทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริง และไม่สามารถเอาผิดได้ ตนเห็นว่ากระบวนการตรวจสอบผิดวิสัย จึงขอเข้าพบผู้บริหารระดับสูง แต่กลับถูกบ่ายเบี่ยง และบอกให้คู่กรณีแสดงความรับผิดชอบด้วยตัวเอง ตนได้พยายามสอบถามความคืบหน้าได้รับคำตอบว่าให้รอ ก่อนที่ผู้บริหารระดับสูงจะแจ้งกลับมาว่า คู่กรณีได้ลาออกจากตำแหน่งไปเรียบร้อยแล้ว หากยังติดใจอยู่ สามารถดำเนินการตามกฎหมายอื่นๆได้ แต่ขณะนั้นในระบบทราฟฟี่ฟองดูว์ ยังขึ้นสถานะติดตามเรื่องอยู่

 

น.ส.เอ กล่าวด้วยว่า ตนจึงไปร้องขอให้ผู้บริหารชี้แจงกระบวนการตรวจสอบ ผ่านไลน์ ช่องกำหนดการของ กทม. ซึ่งมีสมาชิกเป็นผู้บริหารและผู้สื่อข่าว ทำให้โฆษกกทม. ลบบัญชีไลน์ของตนออกจากกลุ่มทันที พร้อมกับชี้แจงว่า บุคคลที่ร้องเรียน ได้ยื่นร้องเรียนเรื่องการคุกคาม ผ่านทราฟฟีฟองดูว์ กทม. ได้มีการตรวจสอบและเชิญทั้งสองฝ่ายมาชี้แจงข้อเท็จจริงผลปรากฏว่าไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามความกล่าวหา กระบวนการต่อจากนี้ ชุดทำงานได้แจ้งให้คู่กรณีทราบว่า สามารถดำเนินการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายต่อไปได้

 

นางสาวเอ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ไม่ไปแจ้งความดำเนินคดี เพราะเห็นว่าคู่กรณีรู้จักกับตำรวจ จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม นอกจากตนแล้วยังมีน้องผู้หญิงในทีมงานนายชัชชาติ โดนลวนลามด้วยเหมือนกัน แต่ผู้บริหารหื่นรายนี้ให้การว่า ไม่ได้คิดอะไร และฝ่ายกฎหมาย สรุปว่าไม่ได้เป็นการคุกคามทางเพศ น้องในทีมงานจึงไม่กล้าเอาเรื่อง และสาเหตุที่ตนออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าว ตอนนี้ไม่ต้องการคำขอโทษ แต่อยากให้ดำเนินคดี หรือหากลาออกไปแล้ว ต้องมีบันทึกติดตัวไปด้วยว่าออกจากตำแหน่งเพราะมีความผิด ก่อเหตุคุกคามทางเพศ ไม่ใช่ให้โอกาสลาออกไปเองเงียบๆ

 

อย่างไรก็ตามรู้สึกผิดหวังในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาอดทนมาตลอด เพราะเห็นแก่ทุกอย่างที่ทำร่วมกันมา และหวังว่าจะมีทางออกที่เหมาะสม แต่กลายเป็นผู้บริหาร กทม.ไม่ให้ความสนใจ ปล่อยเรื่องทิ้งไว้เป็นปี ทั้งๆที่ควรตกลงกันได้ 

 

ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว เมื่อทราบเรื่องจึงได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง แต่ผลการสอบข้อเท็จจริงไม่ได้ชี้ชัดว่าผิดหรือไม่ แต่เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย จึงให้ผู้บริหารระดังสูงรายนั้นลาออกจากตำแหน่ง ขณะเดียวกันผู้ร้องสามารถเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายได้